ห้ามงดอาหารเช้าเด็ดขาด! ไม่งั้น ‘โง่’ แน่
เกือบทั้งหมดของโรคร้ายนานาชนิด มีส่วนมาจากพฤติกรรมการดำรงชีวิตและการบริโภคอาหารแทบทั้งสิ้น
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
เกือบทั้งหมดของโรคร้ายนานาชนิด มีส่วนมาจากพฤติกรรมการดำรงชีวิตและการบริโภคอาหารแทบทั้งสิ้น โดยตลอดระยะเวลา 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เน้นย้ำถึงความเหมาะสมในการรับประทานอาหารหลายต่อหลายครั้ง
ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาคนไทยป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ ความดันโลหิต โรคหัวใจและสมอง ฯลฯ มากขึ้น เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงในทางลบ อาทิ การไม่ทานอาหารเช้า หรือทานอาหารที่ขาดคุณภาพ
ผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชากรทั่วประเทศ พ.ศ. 2556 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบประชากรที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป ทานอาหารมื้อหลักครบ 3 มื้อ ในแต่ละวัน 88% โดยพบสูงสุดในกลุ่มเด็กอายุ 6-14 ปี 93% และต่ำสุดในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปี คือ 87%
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2552 พบว่ากลุ่มเยาวชนมีอัตราการบริโภคอาหารครบ 3 มื้อลดลง 0.5% ในขณะที่ประชากรกลุ่มอื่นมีอัตราเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่มีอายุ 6-14 ปี ที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 13% ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ. ระบุว่า ประชาชนที่รับประทานอาหารไม่ครบ 3 มื้อนั้น ส่วนใหญ่มักจะงด “มื้อเช้า” ด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต้องตื่นแต่เช้า เร่งรีบไปเรียนหรือทำงาน ไม่มีเวลาพอ
นอกจากนี้ อีกเหตุผลที่คนมักกล่าวอ้างกันคือ “งดอาหารเช้าเพราะต้องการลดน้ำหนัก” ซึ่งจะพบมากในกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน ซึ่งถือเป็นความเชื่อที่ผิดและจะยิ่งเกิดผลเสียตามมา
นั่นเพราะการงดกินอาหารเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้ช่วงสายของวันจะรู้สึกหิว มีอารมณ์หงุดหงิด สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำงาน เกิดการผิดพลาดได้มากกว่า และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การทำงานจะด้อยกว่าคนที่กินอาหารเช้า เนื่องจากสมองต้องการน้ำตาลกลูโคสหล่อเลี้ยงตลอดเวลา และจะหันมารับประทานอาหารอื่น เช่น ขนม ประเภทกินจุบกินจิบแทนการรับประทานอาหารเช้า ส่งผลให้อ้วนเพิ่มขึ้นหรือน้ำหนักตัวขึ้นง่าย
พูดกันให้ชัด อาหารเช้าเป็นมื้อที่มีความสำคัญสำหรับเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะอยู่ในวัยที่กำลังเจริญเติบโต มีความจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโตเต็มตามศักยภาพที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารมื้อเช้า และการได้รับอาหารเช้าที่เหมาะสม ควรประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อคงสภาวะระดับน้ำตาลในเลือดของเด็กให้อยู่เป็นเวลาที่ยาวนาน จะทำให้เด็กมีความสามารถในการเรียนรู้และประกอบกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังงานได้ดีขึ้น
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย อธิบายว่า อาหารเช้าที่ดีควรประกอบด้วยอาหารอย่างน้อย 4 หมู่ ได้แก่ 1.อาหารประเภท ข้าว แป้ง จะให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต 2.เนื้อสัตว์ นม ไข่ ให้สารอาหารโปรตีน 3.ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ให้สารอาหารไขมัน 4.ผักชนิดต่างๆ ให้วิตามินและแร่ธาตุ และหากมีผลไม้ด้วยก็จะครบ 5 หมู่ ซึ่งจะให้ผลดีต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ในการกินอาหารเช้านั้น ไม่ควรกินอาหารประเภทข้าวแป้งที่ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว
สำหรับอาหารประเภทซีเรียลต่างๆ ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน จะมีแป้งเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ ขอแนะนำว่า ไม่ควรกินเพียงอย่างเดียว ควรรับประทานคู่กับนมและเพิ่มไข่ ซึ่งเป็นอาหารเช้าที่ดีที่สุด และเสริมด้วยสลัดผักและผลไม้ด้วย ก็จะได้สารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย


