posttoday

ทศวรรษที่ 7 ‘นันยาง’ รองเท้านักเรียนไทย

11 พฤษภาคม 2557

ต้นรัชกาลที่ 6 หนุ่มน้อยจากมณฑลฮกเกี้ยน “ซูถิงฟาง” เดินทางเข้ามาแผ่นดินไทยพร้อมบิดา แบบ “เสื่อผืนหมอนใบ”

โดย...ป้าเบ็ตตี้ บู๊พ

ต้นรัชกาลที่ 6 หนุ่มน้อยจากมณฑลฮกเกี้ยน “ซูถิงฟาง” เดินทางเข้ามาแผ่นดินไทยพร้อมบิดา แบบ “เสื่อผืนหมอนใบ”

ในปี 2450-2462 หนุ่มน้อยเผชิญโชควัยเพียง 15 ปี ได้งานอาชีพแรกเมื่อถึงแผ่นดินไทย คือขายเหล็กในโรงงานของคุณอา ชีวิตคือการไต่เต้า หลงจู๊ ในโรงไม้จินเส็ง ซึ่งมีสำนักงานอยู่ใกล้วัดตะเคียน (วัดมหาพฤฒารามในปัจจุบัน) ในพระนคร ในที่สุดก็พบรักกับสาวไทยเชื้อสายจีนชาวกรุงเก่า (จ.พระนครศรีอยุธยา) บุญสม บุญยนิตย์ หลังจากแต่งงานสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ อาชีพในโรงไม้ก็ยังมั่นคง เขาได้บุตรธิดาเป็นทายาท 9 คน ด้วยสภาพการต่อสู้อันยากลำบากจากจุดเริ่มต้นยังดำเนินต่อไป กว่าจะตั้งหลักทางธุรกิจได้ก็ต้องวนเวียนอยู่กับการเป็นลูกจ้างอยู่ในระยะนี้

จากชื่อแซ่จีน เปลี่ยนชื่อเป็น วิชัย ซอโสตถิกุล ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 วิชัยลาออกจากการเป็นหลงจู๊ในโรงไม้ เพื่อก่อตั้งบริษัท ฮั่วเซ่งจั่น โดยเช่าอาคารสำนักงาน 2 ชั้น บริเวณหัวโค้งเชิงสะพานพุทธ (บริเวณถนนตรีเพชร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร ในปัจจุบัน) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผันตัวเองขึ้นมาเป็น “เถ้าแก่” บุกเบิกธุรกิจของตัวเอง

ทศวรรษที่ 7 ‘นันยาง’ รองเท้านักเรียนไทย

 

ปี 2491 ก่อตั้ง บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ หลังควันสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ วิชัยและครอบครัวย้ายกลับเข้ามาในกรุงเทพฯ หลังหลบภัยสงคราม และตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 28 ม.ค. โดยย้ายสำนักงานไปอยู่บริเวณย่านตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ (บริเวณตรงข้ามซอยสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์) ช่วงนี้เองที่ธุรกิจเริ่มมั่นคงและขยายตัวรุดหน้าไปเรื่อยๆ มีการติดต่อกับต่างประเทศ นำเข้าส่งออกสินค้าหลากหลายชนิด รวมถึงรองเท้าจากประเทศสิงคโปร์ ยี่ห้อหนำเอี๊ย (แปลว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

ปี 2495 รองเท้าผ้าใบยี่ห้อ “หนำเอี๊ย” เป็นการติดต่อร่วมทำธุรกิจระหว่าง โซวคุนชู ประธานบริษัท นันยาง สิงคโปร์ และวิชัย ซึ่งเป็นตัวแทนนำเข้ามาจำหน่ายในไทย ซึ่งในขณะนั้นมีจำหน่ายเฉพาะรองเท้าผ้าใบรุ่น 500 สีน้ำตาล พื้นยางสีน้ำตาล บรรจุถุงกระดาษสีน้ำตาล ราคาคู่ละ 12 บาท รองเท้าผ้าใบหนำเอี๊ยใน 2 ปีแรกขาดทุน เนื่องจากต้นทุนสูงมาก กระทั่งตลาดเริ่มตอบรับดีขึ้นในตลาดสำเพ็งและลูกค้าทางภาคเหนือ เนื่องจากคุณภาพที่ดี ถึงขนาดมีคำเปรียบเปรย “ใส่เดินข้ามภูเขาไปกลับได้สบายๆ ส่วนยี่ห้ออื่น ขาไปใส่หนึ่งคู่พังพอดี ต้องเตรียมไปอีกหนึ่งคู่เพื่อใส่กลับ”

ทศวรรษที่ 7 ‘นันยาง’ รองเท้านักเรียนไทย

 

ปี 2492 รองเท้าผ้าใบรุ่น 500 ฮิตมาก ทำให้บริษัทลดการนำเข้าสินค้าประเภทอื่นๆ เน้นการขายรองเท้าเพียงอย่างเดียว ขณะนั้นเองได้เปลี่ยนชื่อยี่ห้อจาก หนำเอี๊ย ซึ่งเป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว เป็นการออกเสียงภาษาจีนกลางว่า หนันหยาง โดยเพื่อให้เรียกสินค้าได้ง่าย จึงใช้ชื่อ “นันยาง ตราช้างดาว” และได้จดทะเบียนการค้าในปีนี้เอง


ปี 2496 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเกี่ยวเนื่องกับการเสียดุลการค้า บริษัทจึงมีแนวคิดจะผลิตสินค้าเอง โดยใช้วัตถุดิบและแรงงานในประเทศ ในที่สุด นายห้างวิชัยได้ตัดสินใจร่วมทุนกับกลุ่มนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ก่อตั้ง บริษัท ผลิตยางนันยาง (ไทย) บนเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ เลียบถนนเพชรเกษม แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ เมื่อวันที่ 20 พ.ย. เพื่อเป็นฐานการผลิตในไทย และเพิ่มประโยค “Made in Thailand” ในเครื่องหมายการค้า “นันยาง ตราช้างดาว” เดิม โดยในช่วงแรกเมื่อช่างไทยยังไม่มีความชำนาญ ได้มีช่างจากสิงคโปร์เดินทางโดยเรือ 30 คน จากสิงคโปร์ไปมาเลเซีย และนั่งรถต่อมาถึงกรุงเทพฯ และผลิตรองเท้าได้ประมาณวันละ 70 คู่เท่านั้นเอง

ทศวรรษที่ 7 ‘นันยาง’ รองเท้านักเรียนไทย

 

ปี 2510 ขณะที่นายห้างวิชัยดูแลภาพรวมของบริษัท “คุณนายบุญสม” ภรรยาคู่ใจก็ได้อาสาดูแลการผลิต หลังจากลูกสาวคนสุดท้องอายุ 2 ขวบ และควบคุมคุณภาพสินค้าด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ บ่อยครั้งนายห้างลงมือคัดเลือกรองเท้าที่ไม่ได้มาตรฐานด้วยตัวเองก่อนที่สินค้าจะส่งออกสู่ตลาด และนี่คือจุดเริ่มต้นธุรกิจประสบความสำเร็จ

ปี 2557 นันยางประกาศเพิ่มงบการตลาด 30% ไม่ขึ้นราคาช่วงเปิดเทอม เพื่อสร้างยอดขายรองเท้านักเรียนรับเทอมการศึกษาใหม่ โดยออกแคมเปญ “นันยาง ยืดหยุ่น เวรี่สบาย” และล่าสุดเปิดตัวทายาทรุ่นใหม่ กรุณ ซอโสตถิกุล ในมาดผู้บริหาร โชว์โฆษณาสุดล้ำ นันยางตะลุยอวกาศ

ทศวรรษที่ 7 ‘นันยาง’ รองเท้านักเรียนไทย

 

ข่าวล่าสุด

BDI ชี้ SMEs ไทยต้องใช้ Big Data - AI เดินหน้า The UP ปั้นธุรกิจฐานข้อมูลสู่ Data Economy