ทศวรรษที่ 7 ‘นันยาง’ รองเท้านักเรียนไทย
ต้นรัชกาลที่ 6 หนุ่มน้อยจากมณฑลฮกเกี้ยน “ซูถิงฟาง” เดินทางเข้ามาแผ่นดินไทยพร้อมบิดา แบบ “เสื่อผืนหมอนใบ”
โดย...ป้าเบ็ตตี้ บู๊พ
ต้นรัชกาลที่ 6 หนุ่มน้อยจากมณฑลฮกเกี้ยน “ซูถิงฟาง” เดินทางเข้ามาแผ่นดินไทยพร้อมบิดา แบบ “เสื่อผืนหมอนใบ”
ในปี 2450-2462 หนุ่มน้อยเผชิญโชควัยเพียง 15 ปี ได้งานอาชีพแรกเมื่อถึงแผ่นดินไทย คือขายเหล็กในโรงงานของคุณอา ชีวิตคือการไต่เต้า หลงจู๊ ในโรงไม้จินเส็ง ซึ่งมีสำนักงานอยู่ใกล้วัดตะเคียน (วัดมหาพฤฒารามในปัจจุบัน) ในพระนคร ในที่สุดก็พบรักกับสาวไทยเชื้อสายจีนชาวกรุงเก่า (จ.พระนครศรีอยุธยา) บุญสม บุญยนิตย์ หลังจากแต่งงานสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ อาชีพในโรงไม้ก็ยังมั่นคง เขาได้บุตรธิดาเป็นทายาท 9 คน ด้วยสภาพการต่อสู้อันยากลำบากจากจุดเริ่มต้นยังดำเนินต่อไป กว่าจะตั้งหลักทางธุรกิจได้ก็ต้องวนเวียนอยู่กับการเป็นลูกจ้างอยู่ในระยะนี้
จากชื่อแซ่จีน เปลี่ยนชื่อเป็น วิชัย ซอโสตถิกุล ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 วิชัยลาออกจากการเป็นหลงจู๊ในโรงไม้ เพื่อก่อตั้งบริษัท ฮั่วเซ่งจั่น โดยเช่าอาคารสำนักงาน 2 ชั้น บริเวณหัวโค้งเชิงสะพานพุทธ (บริเวณถนนตรีเพชร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร ในปัจจุบัน) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผันตัวเองขึ้นมาเป็น “เถ้าแก่” บุกเบิกธุรกิจของตัวเอง
ปี 2491 ก่อตั้ง บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ หลังควันสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ วิชัยและครอบครัวย้ายกลับเข้ามาในกรุงเทพฯ หลังหลบภัยสงคราม และตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 28 ม.ค. โดยย้ายสำนักงานไปอยู่บริเวณย่านตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ (บริเวณตรงข้ามซอยสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์) ช่วงนี้เองที่ธุรกิจเริ่มมั่นคงและขยายตัวรุดหน้าไปเรื่อยๆ มีการติดต่อกับต่างประเทศ นำเข้าส่งออกสินค้าหลากหลายชนิด รวมถึงรองเท้าจากประเทศสิงคโปร์ ยี่ห้อหนำเอี๊ย (แปลว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
ปี 2495 รองเท้าผ้าใบยี่ห้อ “หนำเอี๊ย” เป็นการติดต่อร่วมทำธุรกิจระหว่าง โซวคุนชู ประธานบริษัท นันยาง สิงคโปร์ และวิชัย ซึ่งเป็นตัวแทนนำเข้ามาจำหน่ายในไทย ซึ่งในขณะนั้นมีจำหน่ายเฉพาะรองเท้าผ้าใบรุ่น 500 สีน้ำตาล พื้นยางสีน้ำตาล บรรจุถุงกระดาษสีน้ำตาล ราคาคู่ละ 12 บาท รองเท้าผ้าใบหนำเอี๊ยใน 2 ปีแรกขาดทุน เนื่องจากต้นทุนสูงมาก กระทั่งตลาดเริ่มตอบรับดีขึ้นในตลาดสำเพ็งและลูกค้าทางภาคเหนือ เนื่องจากคุณภาพที่ดี ถึงขนาดมีคำเปรียบเปรย “ใส่เดินข้ามภูเขาไปกลับได้สบายๆ ส่วนยี่ห้ออื่น ขาไปใส่หนึ่งคู่พังพอดี ต้องเตรียมไปอีกหนึ่งคู่เพื่อใส่กลับ”
ปี 2492 รองเท้าผ้าใบรุ่น 500 ฮิตมาก ทำให้บริษัทลดการนำเข้าสินค้าประเภทอื่นๆ เน้นการขายรองเท้าเพียงอย่างเดียว ขณะนั้นเองได้เปลี่ยนชื่อยี่ห้อจาก หนำเอี๊ย ซึ่งเป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว เป็นการออกเสียงภาษาจีนกลางว่า หนันหยาง โดยเพื่อให้เรียกสินค้าได้ง่าย จึงใช้ชื่อ “นันยาง ตราช้างดาว” และได้จดทะเบียนการค้าในปีนี้เอง
ปี 2496 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเกี่ยวเนื่องกับการเสียดุลการค้า บริษัทจึงมีแนวคิดจะผลิตสินค้าเอง โดยใช้วัตถุดิบและแรงงานในประเทศ ในที่สุด นายห้างวิชัยได้ตัดสินใจร่วมทุนกับกลุ่มนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ก่อตั้ง บริษัท ผลิตยางนันยาง (ไทย) บนเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ เลียบถนนเพชรเกษม แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ เมื่อวันที่ 20 พ.ย. เพื่อเป็นฐานการผลิตในไทย และเพิ่มประโยค “Made in Thailand” ในเครื่องหมายการค้า “นันยาง ตราช้างดาว” เดิม โดยในช่วงแรกเมื่อช่างไทยยังไม่มีความชำนาญ ได้มีช่างจากสิงคโปร์เดินทางโดยเรือ 30 คน จากสิงคโปร์ไปมาเลเซีย และนั่งรถต่อมาถึงกรุงเทพฯ และผลิตรองเท้าได้ประมาณวันละ 70 คู่เท่านั้นเอง
ปี 2510 ขณะที่นายห้างวิชัยดูแลภาพรวมของบริษัท “คุณนายบุญสม” ภรรยาคู่ใจก็ได้อาสาดูแลการผลิต หลังจากลูกสาวคนสุดท้องอายุ 2 ขวบ และควบคุมคุณภาพสินค้าด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ บ่อยครั้งนายห้างลงมือคัดเลือกรองเท้าที่ไม่ได้มาตรฐานด้วยตัวเองก่อนที่สินค้าจะส่งออกสู่ตลาด และนี่คือจุดเริ่มต้นธุรกิจประสบความสำเร็จ
ปี 2557 นันยางประกาศเพิ่มงบการตลาด 30% ไม่ขึ้นราคาช่วงเปิดเทอม เพื่อสร้างยอดขายรองเท้านักเรียนรับเทอมการศึกษาใหม่ โดยออกแคมเปญ “นันยาง ยืดหยุ่น เวรี่สบาย” และล่าสุดเปิดตัวทายาทรุ่นใหม่ กรุณ ซอโสตถิกุล ในมาดผู้บริหาร โชว์โฆษณาสุดล้ำ นันยางตะลุยอวกาศ


