เรื่องเล่าจากภูฏาน
เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสพาคณะไปเยี่ยมภูฏานเป็นครั้งแรก นอกจากจะรื่นรมย์ชมใจกับทิวทัศน์
โดย...ดนัย จันทร์เจ้าฉาย CEO DC Consultants & DMG Books www.facebook.com/danai.chanchaochai
เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสพาคณะไปเยี่ยมภูฏานเป็นครั้งแรก นอกจากจะรื่นรมย์ชมใจกับทิวทัศน์ภูมิประเทศที่สวยงาม ด้วยความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร สมฉายา “มังกรแห่งสายฟ้า” ในอ้อมกอดแห่งเทือกเขาหิมาลัยแล้ว ยังประทับใจเป็นพิเศษกับอัธยาศัยไมตรี ความเป็นมิตร เป็นกันเอง และหัวใจการให้บริการโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากชาวภูฏานซึ่งยังคงอยู่อย่างบริสุทธิ์และเต็มเปี่ยม ทำให้มองย้อนกลับไปถึงเมืองไทยเมื่อสัก 4050 ปีก่อน คนไทยเราก็เคยมีน้ำใจต่อผู้มาเยือน คนแปลกหน้า ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสไม่แพ้กัน จึงขอยกย่องนโยบายในการจำกัดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศภูฏาน ซึ่งปัจจุบันเข้าได้ไม่เกินปีละ 2 หมื่นคน เพื่อคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ขนบประเพณีที่ดีงามตามแบบฉบับดั้งเดิม
ในขณะที่ทุกประเทศในโลกกำลังแข่งขันเอาเป็นเอาตายกับนโยบายด้านเศรษฐกิจ วัดความเจริญกันด้วย GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ โดยไม่ได้คำนึงถึงความสูญเสียในสิ่งที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่ล้วนมีคุณค่าอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นจิตใจของผู้คน ค่านิยมที่ถูกต้อง การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เอารัดเอาเปรียบ รวมถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา ประเทศภูฏานจึงเป็นประเทศแรกในโลกที่หาญกล้านำเสนอทฤษฎี GNH ความสุขมวลรวมประชาชาติ หรือ Gross National Happiness เพื่อพัฒนาสังคมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ที่มุ่งเน้นความเจริญของจิตใจและการคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมที่ดีงาม
อย่างน้อยสิ่งที่เราได้ซึมซับช่วงที่พำนักในภูฏานไม่กี่วัน คือ การใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่เร่งรีบ (Slow Life) การแต่งกายด้วยชุดประจำชาติทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นวันธรรมดาหรือวันหยุด โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าไปในสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นวัดหรือวัง ชาวภูฏานจะประณีตกับการแต่งกายมาก ชวนให้ย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์องค์ปัจจุบัน เสด็จมาเมืองไทยเพื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ในครั้งนั้น ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมารและทรงฉลองพระองค์ในชุด Gho ชุดประจำชาติ ด้วยท่าทีที่สุภาพนุ่มนวลอ่อนโยน สร้างความประทับใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ
ความรู้สึกสุขใจและอิ่มบุญตลอดการเดินทางในดินแดนสวรรค์แห่งพุทธหิมาลัย ทำให้คณะพวกเราที่เดินทางจากประเทศไทยได้พบกับความอัศจรรย์ที่น่าประหลาดใจหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นละอองฝนที่โปรยปรายท่ามกลางฤดูร้อน (แต่อากาศเย็นสบาย) ณ วัดปังรีซัมป้า วัดเก่าแก่ที่สร้างโดยท่านซังดรุง งาวัง นัมเกล ผู้รวมประเทศภูฏานเข้าด้วยกันเป็นคนแรก ดั่งน้ำมนต์ที่เทพยดาโปรยลงมาให้พร หลังจากที่ได้ปฏิบัติบูชา สวดมนต์และแผ่เมตตาเสร็จเรียบร้อย การได้มีโอกาสกราบสักการะพระพุทธรูปโบราณอายุ 1,200 ปี ณ วัดคิชู หนึ่งในวัดเก่าแก่ที่สุด ซึ่งโดยปกติจะไม่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าไปกราบ แต่เนื่องจากวันนั้นสมเด็จย่าของกษัตริย์จิกมีเสด็จ จึงทำให้คณะเราได้อานิสงส์ไปด้วย
แต่ไฮไลต์ของการเยือนภูฏานครั้งนี้ คือ การเดินขึ้นเขาสูงระยะทางไปกลับ 8 กิโลเมตร เพื่อกราบสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดทักซัง ผ่านขุนเขา ผืนป่าอัลไพน์ และทิวทัศน์แห่งหิมาลัยรวม 8-9 ชั่วโมง โชคดีที่คณะของพวกเราเกือบ 30 ชีวิต สามารถเดินขึ้นลงเขาได้เกือบทุกคน โดยเฉพาะน้องชมพู่ภาริดา บัวทรัพย์ หญิงสาวในวัยสามสิบต้นๆ ผู้ผ่านการผ่าตัดสมองถึง 3 ครั้งด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก เธอไม่สามารถเดินได้ปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่น น้องชมพู่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่พบเห็น โดยการเดินขึ้นและลงเขาทักซังด้วยตนเอง โดยใช้ความเพียรพยายามและภาวนาพุทโธไปตลอดทาง มีเพียงไกด์ชาวภูฏานหนึ่งคนที่คอยพยุงไว้ไม่ให้ล้มระหว่างทางขึ้นลงที่สูงชัน ทุกคนจึงยกย่องให้น้องชมพู่เป็นซูเปอร์ฮีโร่แห่งเขาทักซัง
ในที่สุด คณะเราได้เข้าไปนั่งภาวนาปฏิบัติบูชาเบื้องหน้าพระพุทธรูป กูรู รินโปเช พระพุทธเจ้าองค์ที่สองของชาวพุทธหิมาลัย ท่ามกลางความอัศจรรย์ที่ขออนุญาตไม่เขียนถึงในคอลัมน์นี้ แต่สิ่งที่สร้างความปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง คือ การที่พวกเราทุกคนได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีองค์ปัจจุบันของภูฏาน ซึ่งเพิ่งผ่านพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับกษัตริย์จิกมีไปเมื่อไม่นาน โดยท่านได้มีพระเมตตาสนทนาอย่างเป็นกันเอง และพระราชทานพระอนุญาตให้ถ่ายรูปหมู่กับคณะของพวกเราด้วย
ไกด์ชาวภูฏานที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมบอกว่า เขาน้ำตาแทบไหล เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมกราบทูลสมเด็จพระราชินี เขาสงสัยว่า พูดได้อย่างไรภายใน 4 ประโยค ครอบคลุมใจความสำคัญทั้งหมด เป็นภาษาที่ไพเราะและเข้าไปสัมผัสหัวใจ จนกระทั่งพระราชินีทรงตรัสกลับมาว่า “I also love your country so much and look forward to going back again.” และที่ทุกคนแทบจะเฮออกมาดังๆ แต่พยายามกลั้นไว้ คือ ตอนที่พระองค์ตรัสตอบว่า “Yes, I’m very happy to take a group photo with you”
ส่วนสิ่งที่ผมได้กราบทูลสมเด็จพระราชินีนั้น ให้ท่านผู้อ่านได้นึกเอาเล่นๆ กันเองว่า หากมีโอกาสได้เข้าเฝ้าจะกราบทูลอะไร เพียงแต่จะบอกว่า สิ่งใดที่ออกมาจากหัวใจนั้น ย่อมเป็นบุญ เป็นพลังแห่งจิตตานุภาพที่ส่งผลดีเสมอ โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เราพูดและทำได้เข้าไปสัมผัสกับหัวใจของผู้คนรอบข้าง ดังคำคมของสตีฟ จ็อบส์ “When you touch people’s hearts, it’s limitless”


