posttoday

‘เห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ หลักทำงาน พญ.ธิดารัตน์ ทดแทนคุณ

31 มีนาคม 2557

คุณหมอสาวใบหน้าสวยหวาน พญ.ธิดารัตน์ ทดแทนคุณ นายแพทย์ชำนาญการ กลุ่มงานจิตเวช โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า

โดย...วราภรณ์ ภาพ : เสกสรร โรจนเมธากุล

คุณหมอสาวใบหน้าสวยหวาน พญ.ธิดารัตน์ ทดแทนคุณ นายแพทย์ชำนาญการ กลุ่มงานจิตเวช โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ผู้มีแนวความคิดแห่งการทำงานด้านดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิตมานานกว่า 10 ปี ว่าการเป็น “ผู้ให้” สุขใจกว่าการเป็น “ผู้รับ” คุณหมอจึงทุ่มเทกับการรับราชการอย่างเต็มที่ และยึดหลักการใช้ชีวิตที่สมถะและเรียบง่าย

อาชีพคุณหมอด้านจิตเวช เปรียบเหมือนงานที่ให้คำปรึกษากับคนไข้ เพื่อให้เขาพบกับความสุขและดำเนินชีวิตอยู่ได้ คุณหมอเล่าด้วยใบหน้าอิ่มสุขว่า เธอมุ่งมั่นเป็นคุณหมอจิตเวช ดูแลด้านอารมณ์ ความคิด ปัญหาพฤติกรรมของคนไข้ หลังจากศึกษาจบจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ด้วยผลการเรียนระดับเกียรตินิยม เธอตัดสินใจเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางจิตเวชทั่วไป ที่ศิริราชทันที

“หมอสนใจด้านจิตเวชเพราะมีความซับซ้อนกว่าทางกาย เพราะเป็นเรื่องของจิตใจและการทำงานของสมอง การสื่อสารการแสดงออกซึ่งมีพฤติกรรมที่ซับซ้อน พอได้มาเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชช่วยตอบโจทย์สิ่งที่หมออยากทำคือ หมออยากดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ เรียกว่าดูแลแบบองค์รวม ซึ่งการทำงานที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าหมอได้ทำงานร่วมกับคุณหมอรักษาโรคทั่วไป แพทย์ผ่าตัด อายุรกรรมทั่วไป ถ้าคนไข้มารักษาโรคอื่นๆ แล้วมีปัญหาด้านจิตเวช หมอก็จะไปเป็นแพทย์ช่วยดูแล เป็นการรักษาคนไข้ได้ทั้งระบบ ซึ่งแตกต่างจากการทำงานที่โรงพยาบาลศรีธัญญาตรงคนไข้มีปัญหาเฉพาะโรคทางจิตเวชอย่างเดียว ถือเป็นการทำงานที่ท้าทายไปคนละแบบค่ะ”

ด้วยทำงานคลุกคลีกับคนไข้ด้านจิตเวชที่เริ่มตั้งแต่วัยรุ่นอายุ 18 ปีขึ้นไป จนถึงวัยผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่วัยรุ่นที่มาพบคุณหมอมักมีปัญหาเรื่องพฤติกรรม เช่น เป็นโรคซึมเศร้า ติดเกม ติดสมาร์ทโฟน แต่เมื่อบำบัดด้านจิตใจแล้วพบว่าเขาป่วยทางอารมณ์ อาจเป็นเพราะการใช้ยาเสพติดทำให้เขามีปัญหาควบคุมอารมณ์ไม่ได้ โมโหง่าย คนไข้อีกกลุ่มหนึ่งของคุณหมอคือผู้ใหญ่วัยชรา ซึ่งมาพบคุณหมอด้วยปัญหาคนละแบบ เช่น บอกว่าตนเองปวดหัว ปวดท้อง แต่เมื่อสอบถามแล้วจะพบว่าคนไข้ผู้สูงอายุมักมีอาการเครียดสะสม และเป็นโรคซึมเศร้า ฯลฯ

คุณหมอธิดารัตน์บอกว่า การเป็นแพทย์ด้านจิตเวชเป็นงานที่สนุก เพราะเรื่องจิตใจไม่ได้เป็นโรคที่ตรงไปตรงมา แต่ละเคสมักใช้วิธีรักษาเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน ซึ่งแตกต่างจากการรักษาโรคด้านอื่นๆ การเป็นหมอด้านสุขภาพจิตเป็นการรักษาที่เหมือนหมอต้องตัดเสื้อให้เข้ากับคนคนนั้น เพราะคนไข้แต่ละคนมีปัญหาที่เฉพาะ และมีปัญหาที่ไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นการเป็นหมอด้านจิตเวชที่รักษาคนไข้ได้จะต้องเข้าใจคนไข้จริงๆ จึงจะช่วยเหลือเขาได้ ซึ่งการรักษาด้านจิตเวชต้องอาศัยรักษาทั้งทางยา จิตบำบัด และให้คำปรึกษาด้วย

“คนเรามักมีปมปัญหา บางครั้งส่งผลไปถึงบุคลิกภาพ เช่น มีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ คิดแง่ลบตลอด ก็เกิดความเครียด ความเศร้าเพราะคิดเปรียบเทียบตลอดเวลา ชิงดีชิงเด่นกัน ทุกวัยมีปัญหาแบบนี้ได้หมด ถ้ามีปัญหาระบบการคิด เหมือนเราดูในละครทีวีซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว นางร้ายบางคนชีวิตคิดเอาชนะตลอดเวลา ชีวิตเขาก็ไม่มีความสุข จึงต้องใช้จิตบำบัดและยาเข้าช่วย อาชีพหมอด้านจิตเวชเป็นงานที่ช่วยเหลือคนจริงๆ เป็นงานที่ทำให้เราได้บุญทุกวัน ทำแล้วมีความสุขค่ะ”

แม้การทำงานที่ตนเองรักมักเกิดความอิ่มใจ แต่ก็พบอุปสรรคในการทำงานบ้าง เช่น ระบบการให้บริการของกระทรวงสาธารณสุขทำให้คนไข้ขาดโอกาสในการเข้าถึงยาดีๆ

“ความตั้งใจของหมอคือ อยากตอบแทนประเทศชาติ เราอยากทำงาน รัฐบาลอยากช่วยเหลือคนด้อยโอกาส ซึ่งคนไข้ที่มาที่โรงพยาบาลมักเป็นคนไข้ 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นหลัก เขาไม่มีเงินไปจ่ายค่ารักษาตัวในโรงพยาบาลแพงๆ แม้โรงพยาบาลรัฐรักษาได้ราคาถูกมากๆ แต่คุณภาพของคุณหมอไม่ได้ด้อยไปกว่าโรงพยาบาลเอกชนเลย หมอไม่ต้องการความร่ำรวย และไม่จน แต่ร่ำรวยความสุข เวลาว่างของหมอเพื่อเป็นการรีเฟรชตัวเองคือ ไปทำงานจิตอาสา ไปบ่อยหลักๆ คือที่วัดฤาษีลิงดำ นอกจากไปรักษาคนไข้แล้ว ยังเป็นการรักษาจิตใจหมอด้วย เพราะหมอเน้นว่า เราควรอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุขใจดีกว่าร่ำรวยเงินทอง”

หลักการทำงานของคุณหมอที่ยึดถือมาตลอดคือ ทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด เห็นอกเห็นใจผู้อื่น การทำงานไม่ได้สำเร็จจากการทำงานของคนเพียงคนเดียว อย่างอาชีพหมอด้านจิตเวชเป็นการทำงานร่วมกับพยาบาล นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน ดังนั้นหลักง่ายๆ ในการทำงานของคุณหมอให้ราบรื่น คุณหมอยึดถือเสมอว่าตนเองไม่ใช่หัวหน้าทีม แต่หมอเป็นเพียงแค่ผู้ร่วมงานคนหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะวางแผนการรักษาให้คนไข้หายเป็นปกติสุขได้

“เราทำงานช่วยแก้ปัญหาให้คนไข้ ดังนั้น เราจะเครียดไม่ได้ เมื่อพบคนไข้เราต้องช่วยดึงศักยภาพคนไข้ขึ้นมา เช่น เขาติดเหล้าจนเกิดอาการชัก มีเลือดออกทางเดินอาหาร ก่อนรักษาทางด้านร่างกาย เราต้องสอบถามก่อนว่าทำไมเขาถึงหันไปพึ่งเหล้า อาจเป็นเพราะเขาเกิดปัญหาในชีวิตจนเกิดปัญหาสุขภาพตามมา

ดังนั้น การทำงานของหมอจิตเวชจึงต้องทำงานร่วมกับแพทย์หลายๆ สาขา การทำงานอันดับแรกของหมอคือ รักษาให้ดีที่สุด รักษาให้เต็มที่เท่าที่หมอจะทำได้ เลือกทางที่ดีที่สุดในการดูแลคนไข้ เมื่อดูแลคนไข้อย่างดีที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ออกมาอย่างไรหมอต้องยอมปล่อยวาง ทุกอาชีพต้องรู้จักปล่อยวางให้ได้ ดังนั้น เราต้องปรับความคิด

การมาเรียนจิตเวชให้เราเข้าใจตัวเองก่อนที่จะเข้าใจคนอื่น เรามีข้อดีมีข้อเสียอย่างไร เมื่อเราเข้าใจตัวเองแล้วเราจะเข้าใจคนอื่นได้ง่ายขึ้น แต่คนไข้บางรายทุกข์เพราะไม่ยอมรับข้อเสียของตัวเอง”

พญ.ธิดารัตน์ ทดแทนคุณ (สกุลเดิม : สุริยาชัยวัฒนะ) วัย 33 ปี

ตำแหน่งปัจจุบัน : นายแพทย์ชำนาญการ กลุ่มงานจิตเวช โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า

การศึกษา : ปริญญาตรี แพทยศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทุนกระทรวงสาธารณสุข สำเร็จการศึกษาเทียบเท่าระดับปริญญาโท ประกาศนียบัตรบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก สาขาจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และสำเร็จการศึกษาเทียบเท่าระดับปริญญาเอก วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง สาขาจิตเวชศาสตร์ทั่วไป คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ทุนกรมสุขภาพจิต

ประวัติการทำงาน : คุณหมอรับราชการมาโดยตลอด อาทิ นายแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ ทำหน้าที่หัวหน้ากลุ่มงานฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิตเวช นายแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลศรีธัญญา

วิธีคลายเครียด : วันว่างๆ ชอบรดน้ำต้นไม้ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงปลาคาร์ฟ นั่งเล่นมุมเล็กๆ หมอชอบความเรียบง่าย ซึ่งคือเป้าหมายของชีวิต ความเรียบง่ายสบาย หากใครมาสัมผัสความเรียบง่ายในชีวิต ชีวิตเรามีความสุขเพราะเรารู้จักสุขกับตัวเอง

ธรรมะ : คุณหมอใกล้ชิดกับธรรมะมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มจากอยากนั่งสมาธิเพื่อให้เรียนได้ดี จดจำบทเรียนได้ง่ายและเร็ว พอโตขึ้นอยู่ในวัยทำงานคุณหมอเรียนธรรมะให้ลึกซึ้งขึ้น และพบว่าธรรมะไม่ได้มีแค่สมาธิ จิตที่สงบ และจิตไม่ฟุ้งซ่านเท่านั้น แต่ทำให้คุณหมอรู้เท่าทันความเป็นจริงของชีวิต ที่มีทั้งทุกข์และสุข หากเราอยู่อย่างมีสติ ทำให้มนุษย์เราไม่ทุกข์ และรู้ว่าวิปัสสนา คือ การเท่าทันทุกข์ จัดการทุกข์ได้ สอนให้คุณหมอมีจิตใจที่มีเมตตา รักผู้อื่น เป็นหลักธรรมะง่ายๆ ที่คนควรมี

หลักยึดเหนี่ยวจิตใจ : พรหมวิหาร 4 คือมีความรักในเพื่อนมนุษย์ ถ้าเรามีหลักพวกนี้เราก็จะมีความสุข ไม่เบียดเบียนกัน เป็นพื้นฐานของศีล 5 ถ้าเราไม่เบียดเบียน เราก็จะมีชีวิตเป็นปกติสุข และพระที่คุณหมอนับถือคือ พระฤาษีลิงดำที่สอนเรื่องไม่ให้ยึดติดทั้งทุกข์และสุข และสอนให้คุณหมอมีจิตสาธารณะ คือการช่วยเหลือคน ทำงานที่เป็นสาธารณประโยชน์ ซึ่งคุณหมอก็ยึดมาใช้ในการดำเนินชีวิตเช่นทุกวันนี้

ต้นแบบทำงาน : นพ.ขจิตร์ พาชีรัตน์ อาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นอาจารย์สอนคุณหมอตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ ท่านเป็นหมอที่ใช้ใจในการดูแลคนไข้ ท่านจะสอบถามคนไข้ว่าผ่าตัดไปแล้วจะได้รับผลกระทบอย่างไร ใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ซึ่งคุณหมอก็นำหลักปฏิบัตินี้มาดูแลคนไข้ของคุณหมอเช่นกัน

ภาพยนตร์เรื่องโปรด : คุณหมอชื่นชอบภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Departures เป็นหนังบอกเล่าถึงจิตใจที่อ่อนโยนมักจะทำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น จากพระเอกที่เป็นนักเชลโล แต่ด้วยเศรษฐกิจไม่ดี เขาจึงผันตนเองมาทำอาชีพตกแต่งหน้าศพ ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ละเอียดอ่อนมากๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาทำงานไม่เคยลึกซึ้งด้านจิตใจเลย แต่เมื่อเขาได้ตกแต่งศพพ่อของเขา ทำให้เขาได้กล่อมเกลาจิตใจตนเองไปด้วย สุดท้ายเขากลับมาเล่นเชลโลได้ไพเราะมากๆ เพราะด้วยจิตใจที่ละเอียดอ่อนนั่นเอง

หนังสือเล่มล่าสุดที่อ่าน : ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของท่านติช นัท ฮันห์ เป็นหนังสือการเจริญสติที่ทำให้เราตื่น และเบิกบาน หนังสือสอนให้เรามีความสุขกับปัจจุบันจริงๆ สติมาปัญญาเกิด หนังสือบอกเรื่องการมีสติดีอย่างไร ทำให้ชีวิตเราเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ข่าวล่าสุด

นายกฯ ลั่นยึดพื้นที่คืนแล้ว ปัดใช้คนกลาง สั่ง กต.แจงอาเซียน