วิถีนาวาแห่งประเวศบุรีรมย์
ทุกพื้นที่ทุกท้องถิ่นมักจะมีเรื่องราวความเป็นมาของตัวเองอันควรค่าแก่การศึกษา
โดย...โยธิน อยู่จงดี
ทุกพื้นที่ทุกท้องถิ่นมักจะมีเรื่องราวความเป็นมาของตัวเองอันควรค่าแก่การศึกษาแม้ว่าเราจะอยู่ในยุคที่ระยะทางไม่ได้เป็นอุปสรรคในการติดต่อสื่อสาร วัดไม่ได้เป็นศูนย์กลางชุมชนเหมือนสมัยก่อน แต่เราก็ควรรับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์เพื่อตอบคำถามลูกหลานให้ได้ว่าสมัยก่อนที่นี่เคยเป็นอะไร
วันนี้เราเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเขตลาดกระบังเพื่อรับรู้เรื่องราวต่างๆ ในเขตลาดกระบังที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยนอกจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่ทุกคนต่างรู้จักกันดี พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่วัดสุทธาโภชน์ ซอยฉลองกรุง 2 ถนนฉลองกรุง กุฏิไม้สักเก่าแก่ของวัดถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของเก่า และป้ายนิทรรศการให้ประชาชนได้ศึกษาหาความรู้
ตัวพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างแสดงเครื่องมือทำกินของชาวบ้านสมัยก่อน เครื่องสีข้าว ไซดักปลาทรงต่างๆ ที่หาดูได้ยาก และเรื่องราวความเป็นมาของเขตลาดกระบังอย่างคร่าวๆ ซึ่งเรื่องราวของเขตนี้น่าจะพูดได้ว่าเริ่มต้นมาจากการขุดคลองประเวศบุรีรมย์ทั้งสิ้น
เดิมทีพื้นที่บริเวณเขตลาดกระบัง อยู่ในพื้นที่การปกครองของเมืองมีนบุรี มีชื่อเดิมว่า “อ.แสนแสบ” ต่อมาราวปี 24682469 พลเอกสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงลพบุรีราเบศน์ ขณะดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงเห็นว่าชื่อของ อ.แสนแสบ ไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะคลองแสนแสบนั้นไหลผ่านที่ อ.มีนบุรี ไม่ได้ผ่านในพื้นที่นี้เลย จึงทรงให้เปลี่ยนชื่อ อ.แสนแสบ เป็น อ.ลาดกระบัง
ต่อมา จ.มีนบุรี ถูกยุบรวมกับ จ.พระนคร หรือกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน อ.ลาดกระบัง จึงขึ้นกับ จ.พระนคร เปลี่ยนเป็นเขตลาดกระบังจนถึงปัจจุบัน
ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็น สมุหพระกลาโหม ชาวบ้านจึงเรียกท่านว่า “เจ้าคุณทหาร” มาควบคุมการขุดคลองประเวศบุรีรมย์ ผ่านท้องที่เขตลาดกระบังไปยัง จ.ฉะเชิงเทรา โดยทรงประกาศใช้พระราชบัญญัติ “ประกาศขุดคลอง” ปี 2420 รวมทั้งพระราชทานเงินจำนวน 8 หมื่นบาท และทรงให้ราษฎรช่วยขุดคลอง โดยจะได้รับผลประโยชน์จากการจับจองที่ดินสองฝั่งคลองเป็นค่าตอบแทน
ก่อนนี้เป็นพื้นที่ป่าโปร่ง มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบางมาก หลังจากได้รับพระราชทานเงินจึงเริ่มขุดตั้งแต่ปี 24212423 มีจุดเริ่มต้นจากปลายคลองพระโขนง ทอดยาวไปถึงปากแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา รวมความยาวทั้งสิ้น 46 กม. จากนั้นมีการขุดคลองย่อยเพิ่มเติมอีก 60 กว่าคลองในเขตลาดกระบัง ทำให้ผู้คนในยุคก่อนนิยมสัญจรกันทางน้ำ และใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตรกรรม เราจึงเห็นภาพบ้านทรงไทยริมน้ำ เสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่กระโดดน้ำจากศาลากันอย่างสนุกสนาน มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตริมน้ำที่ค่อนข้างโดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร
จึงมีประชาชนอพยพเข้ามาช่วยขุดคลองและขอพระราชทานที่ดินมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเมื่อที่ดินคลองประเวศบุรีรมย์ไม่เพียงพอกับความต้องการของราษฎร จึงได้ช่วยกันออกเงินจ้างจีนขุดคลองแยกอีก 4 คลอง คือ คลองหนึ่ง คลองสอง คลองสาม และคลองสี่ ในครั้งนั้น เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ได้จับจองที่ดินริมคลองไว้ประมาณ 1,500 ไร่ โดยมีความตั้งใจจะให้ที่ดินผืนนี้เป็นสถานศึกษา ซึ่งก็คือที่ดินของโรงเรียนพรตพิทยพยัต และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่มีชื่อเสียงนั่นเอง
แต่อีกนัยหนึ่งหากเปิดหน้าประวัติศาสตร์การสงครามในยุคสมัยนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า คลองประเวศน์บุรีรมย์ อาจจะเป็นคลองยุทธศาสตร์ ซึ่งก่อนหน้านั้นไทยยังมีศึกสงครามกับญวนด้านฝั่งลาวและเขมร โดยการนำทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ซึ่งเรารบกับญวนนานถึง 15 ปี
คลองประเวศบุรีรมย์ ที่บรรจบกับแม่น้ำบางปะกงได้จึงกลายเป็นทางลำเลียงกำลังบำรุงจากเมืองหลวงไปสู่สนามรบได้รวดเร็วและสะดวกที่สุด อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นคลองสัญจรของประชาชนได้อีกด้วย
ย้อนกลับมาที่ วัดสุทธาโภชน์ ที่ตั้งของตัวพิพิธภัณฑ์ ที่วัดนี้เป็นวัดของชาวมอญที่อพยพถิ่นฐานมาจากพระประแดงตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่หนีเข้าไทยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถึงกว่า 4 หมื่นคน วัฒนธรรมการสวดมนต์ของพระ ประเพณีการทำบุญจึงเป็นของชาวมอญโดยส่วนมาก ตักบาตรพระร้อย ตักบาตรน้ำผึ้ง แห่หงส์ตะขาบ การเล่นสะบ้า เป็นต้น ซึ่งเราจะได้เห็นผ่านรูปจำลองประเพณี และภาพถ่ายเก่าๆ ของชาวบ้านที่บริจาคให้กับวัดที่ตัวพิพิธภัณฑ์ชั้นบน
จุดหนึ่งของวัฒนธรรมมอญที่น่าสนใจก็คือธงตะขาบที่แขวนอยู่รายรอบตัวพิพิธภัณฑ์ คล้ายกับตุงของทางภาคเหนือ แต่ไม่มีลวดลายประดับ มีเพียงเส้นแบ่งเป็นข้อๆ ส่วนบนสุดของธงทำเป็นหน้าของตะขาบ เป็นความเชื่อทางสัจธรรมของชาวมอญว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรำลึกถึงพระมารดาบนชั้นดาวดึงส์ หลังจากโปรดพระมารดาแล้วจึงเสด็จลงมายังโลกมนุษย์
ครั้งนั้นนอกจากประชาชนจะนำอาหารไปใส่บาตรแล้ว ยังได้ทำการต้อนรับเฉลิมฉลองด้วยการปักธงรูปต่างๆ เป็นทิวแถว กล่าวโดยเฉพาะชนชาติมอญที่ใกล้กับประเทศอินเดียมากที่สุดนั้นได้ทำธงเป็นรูปตะขาบหรือเรียกว่า ธงตะขาบ สาเหตุที่ทำเป็นธงตะขาบ เนื่องจากทางโลก ตะขาบเป็นสัตว์ที่มีลำตัวยาวมาก มีเท้ามาก มีเขี้ยวเล็บที่มีพิษ สามารถต่อสู้กับศัตรูที่มาระราน และรักษาตัวเองได้ เปรียบเสมือนคนมอญที่มิเคยหวาดหวั่นต่อข้าศึกศัตรู สามารถปกป้องคุ้มครองประเทศของตนเองได้
มีการเปรียบเทียบส่วนต่างของตะขาบในทางธรรม เช่น หนวด 2 เส้น ได้แก่ ธรรมที่มีอุปการะมาก 2 อย่าง คือ สติ คือ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว ลำตัวมี 22 ปล้อง ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 เป็นต้น ดังนั้นหากเราเห็นธงตะขาบในงานบุญที่ไหน จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นประเพณีของชาวมอญอย่างแน่นอน
และธงตะขาบนี้เราก็จะได้เห็นอยู่ถ้วนทั่วริมฝั่งคลองประเวศบุรีรมย์ คลองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมวิถีชีวิตบนเส้นทางสัญจรดั้งเดิมของคนไทย ก่อนที่ทุก 5 นาทีจะมีเครื่องบินบินผ่านเหนือหลังคาบ้านไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพวกเขาไปแล้ว


