‘เชฟมาริโอ้’ คารมเป็นต่อ รูปหล่อไม่เป็นรอง
ก่อนจะได้เริ่มถามไถ่ถึงความเป็นมาของเชฟหนุ่มตรงหน้า ตาก็ไปสะดุดกับป้ายชื่อสีทองเด่นสง่าด้านขวาของเสื้อเชฟสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษ ว่า “Mario” ซะก่อน
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา / ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน&<2288;
ก่อนจะได้เริ่มถามไถ่ถึงความเป็นมาของเชฟหนุ่มตรงหน้า ตาก็ไปสะดุดกับป้ายชื่อสีทองเด่นสง่าด้านขวาของเสื้อเชฟสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษ ว่า “Mario” ซะก่อน ข้อมูลที่เก็บจากดวงตาสั่งการข้อมูลไปยังสมองให้ถามคำถามแรกไปเลยว่า ชื่อนี้เชฟได้แต่ใดมา
“มาจาก มาริโอ้ เมาเร่อ ครับ แต่ผมเป็น มาริโอ้ วงศ์คำเหลา (หัวเราะ) ลูกค้าเป็นคนตั้งให้ครับ เมื่อ 4 ปีก่อนตอนผมมาทำงานที่นี่ใหม่ๆ ลูกค้าว่าผมหน้าคล้ายๆ ดังนั้นพอที่ห้องอาหารจะทำป้ายชื่อให้ ชื่อมาริโอ้เลยผุดขึ้นมาและกลายเป็นชื่อหลักที่ผมใช้ในการทำงาน เวลาลงชื่อรับออร์เดอร์” เชฟมาริโอ้ เล่าอย่างเขินอาย
เชฟมาริโอ้ หรือเชฟเนศธนกร แก้วอมตวงศ์ ประจำการอยู่ที่ห้องอาหารเบนิฮานา ห้องอาหารญี่ปุ่น เทปปันยากิสเต๊กเฮ้าส์ ตั้งอยู่ในโรงแรมอนันตรา กรุงเทพฯ ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท แอนด์ สปา เชฟออกตัวก่อนตั้งแต่เริ่มพูดคุยเลยว่า เชฟขี้อายและพูดไม่เก่ง แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการทำหน้าที่เชฟของเขา เพราะเมื่อยืนประจำการที่โต๊ะเทปปันยากิ เชฟก็พร้อมแล้วที่จะมอบความอร่อย และความสนุกสนานให้กับลูกค้า ตามคอนเซปต์ของห้องอาหารที่ว่า “ทุกมื้ออาหารคือการแสดง”
“อาชีพเชฟไม่เคยอยู่ในหัวผมมาก่อน ตอนเด็กผมฝันอยากจะเป็นเทรดเดอร์ แต่พอโตมาก็เลือกเรียนด้านวิศวะ เพราะคุณพ่อทำงานที่การไฟฟ้าฯ แต่พอเรียนไปได้ 2 ปี ก็พบว่าไม่ใช่ทางที่สนใจ พอดีคุณอาชวนให้ลองมาเป็นเชฟ ผมเลยได้ก้าวเข้ามาในวงการนี้”
เชฟมาริโอ้ เล่าว่า เขาเริ่มต้นอาชีพเชฟด้วยการเป็นเด็กเติมอาหารในห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ ที่ห้องอาหารนี้ทำให้เขาได้ฝึกทักษะหลายอย่าง ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ ฝึกความเร็วในการทำอาหารตามออร์เดอร์ลูกค้า ที่สำคัญคือ ได้รู้ความต้องการของลูกค้า เชฟบอกว่า ทำอยู่สักพักก็ย้ายไปอยู่ห้องอาหารบาร์บีคิวประมาณ 6 เดือน จึงมาประจำอยู่ที่ห้องอาหารเบนิฮานา
“ตอนแรกที่มีคนชวนมาทำห้องอาหารนี้ ผมไม่รู้เลยนะว่าต้องทำอะไรบ้าง ผมมาฝึกอยู่ 3 เดือนกว่าจะออกมาทำงานหน้าเตาจริงๆ ผมได้เทคนิคต่างๆ ในการทำอาหาร เช่น ต้องดูเตาให้เป็นว่าความร้อนพอไหม ถ้าไม่ร้อนพอ ใส่ของสดลงไปก็จะติดเตา มีดที่จะใช้ต้องลับให้คมเสมอ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องเทคนิคของเชฟแต่ละคนที่จะสรรหามาสร้างความสนุกให้ลูกค้า ผมก็อาศัยครูพักลักจำไปเรื่อยๆ”
อย่างไรก็ตาม เชฟยอมรับว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เพราะบอกตัวเองอยู่เสมอว่า “ต้องทำให้ได้”
“การเป็นเชฟในห้องอาหารสไตล์เทปปัน เป็นอะไรที่ขัดกับบุคลิกผมเหมือนกัน ผมค่อนข้างขี้อาย คือ ให้ทำอาหารก็ทำ แต่พอต้องมาอยู่ต่อหน้าลูกค้า ต้องคอยเอนเตอร์เทนลูกค้า แรกๆ ก็เป็นโจทย์ที่ยากมาก ผมโดนหัวหน้าว่าประจำ ถามว่าเคยท้อไหม ไม่นะ ผมคิดว่าถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว จนวันนี้ผมก็อยู่ที่นี่มา 5 ปีแล้ว”
หลังจากพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ ก็ถึงเวลาที่รอคอย เพราะเชฟจะโชว์ฝีมือ การทำอาหารให้ชิม แน่นอนว่าเรื่องลีลาทั้งการทำอาหาร รสชาติ และความสนุกสนาน เชฟขอมาแบบจัดเต็ม ชนิดที่เรียกว่า 40 นาทีผ่านไป ไม่บอกไม่รู้ว่าเชฟเป็นหนุ่มขี้อาย ไม่กล้าพูดแม้แต่น้อย เพราะแต่ละมุขและการแสดงตลอดมื้อนี้เชฟสอบผ่านฉลุย
จบมื้ออาหารกลางวันนี้ด้วยเสียงหัวเราะ พร้อมคำเฉลยที่รู้ในใจโดยไม่ต้องถามเชฟให้ช่วยตอบว่า ทำไมถึงเป็น มาริโอ้ วงศ์คำเหลา เพราะตัวตนทั้งหมดของเชฟ คือ หล่อแถมตลกนั่นเอง
เนื้อสันในคาโกชิมา หอยเชลล์ฮอกไกโด และเนยวาซาบิ
ส่วนผสม
1.เกลือปริมาณเล็กน้อย
2.พริกไทยปริมาณเล็กน้อย
3.หอยเชลล์ฮอกไกโด 300 กรัม
4.เนื้อคาโกชิมา 100 กรัม
5.ซอสถั่วเหลืองปริมาณเล็กน้อย
6.เนยกระเทียมปริมาณเล็กน้อย
7.แป้งสาลี 20 กรัม
8.เนยจืด 20 กรัม
9.วาซาบิสด 10 กรัม
วิธีทำ
1.ใส่น้ำมันพืชและเกลือลงในกระทะ (ใส่เกลือเพื่อไม่ให้ติดกระทะ) ตั้งเตาให้ร้อนได้ที่ ใส่เนื้อวัวคาโกชิมา ที่หั่นเป็นลูกเต๋าลงไป ถ้าต้องการกินแบบ Medium Rare ให้ใส่เนื้อกระเทียมกับซอสถั่วเหลืองลงไป แล้วกลับด้านเนื้อทันที จากนั้นเติมเนยกระเทียม พอละลายแล้ว ก็ตักขึ้นเสิร์ฟได้ทันที แต่ถ้าอยากได้เนื้อค่อนข้างสุก ให้กลับด้านเนื้อก่อนที่จะใส่เนยกระเทียม เสร็จแล้วนำขึ้นมาพักไว้
2.ใส่น้ำมันและเกลือลงในกระทะ นำหอยเชลล์ที่คลุกกับแป้งสาลีไว้แล้ว เพื่อให้ได้เนื้อที่กรอบนอกนุ่มในลงในกระทะ พอเหลืองก็กลับด้าน พอเหลืองทั้งสองด้านแล้วให้ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย และปรุงรสด้วยวาซาบิและเนย พอละลายแล้ว ก็ตักขึ้นเสิร์ฟ โดยอาจจะบีบมะนาวเพื่อดับกลิ่นคาว


