เรื่องสั้นอันหลายหลาก ‘กล้า สมุทวณิช’
โดย...โจ เกียรติอาจิณ/ภาพ matichon.co.th
โดย...โจ เกียรติอาจิณ/ภาพ matichon.co.th
เจ้าของนามปากกา “บุญชิต ฟักมี” เมื่อครั้งอดีต ปัจจุบันเขาใช้นามจริง “กล้า สมุทวณิช”
นามสกุลคุ้นๆ จนอดสงสัย ตกลงเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน
เขามีงานประจำที่ศาลรัฐธรรมนูญ ฝ่ายคดีอาญา ตามศักดิ์เป็นหลานชาย “ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช” ขณะที่ชีวิตอีกฟาก กล้าคือนักเขียน
เริ่มจับปากกาเขียนนั่นนู่นนี่ตั้งแต่มัธยมต้น แต่มาเอาจริงจังและผันตัวเองมาเป็นนักเขียนเต็มตัว ก็หลังจากที่คว้ารางวัลนายอินทร์ อะวอร์ด ปี 2553 จากผลงาน “มนุษย์ตับหวาน” กระทั่งมาถึงผลงานล่าสุด “หญิงเสาและเรื่องราวอื่น” (สนพ.มติชน) การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศมติชนสุดสัปดาห์ ปี 2554 จากผลงาน “หญิงเสา”
“หญิงเสาและเรื่องราวอื่น” นับเป็นรวมเรื่องสั้นเล่มที่ 2 ของกล้า บรรจุด้วย 13 เรื่องสั้นรสเข้ม แต่ละเรื่องนำเสนอภาพที่ทั้งย้อนแย้งและยอกย้อน สลับไปมาระหว่างความจริงกับความเหนือจริง บางคราก็คล้ายดั่งว่าเป็นเรื่องสมมติ เรื่องเล่า เรื่องจินตนาการ ผสานด้วยเหตุการณ์ที่สามารถจับต้องได้
หลักใหญ่ใจความนั้น กล้าบอกว่าต้องการสะท้อนภาพความขัดแย้ง 2 ส่วน หนึ่งคือความขัดแย้งทางสังคม สองคือความขัดแย้งในจิตใจของผู้คน
“มันเป็นเรื่องสั้นที่ผมเขียนตอนที่ยังอยู่เมืองไทย ช่วงปี 2550-2556 จะมีแค่เรื่องเดียวที่ผมเขียนตอนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส ความขัดแย้งทั้งสองส่วน จะมีเส้นเรื่องที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งความขัดแย้งของผมก็ไม่ได้แยกจากกัน ถ้าผู้อ่านจับสังเกตได้ มันคือภาพสะท้อนจากสังคมไปสู่ความเป็นปัจเจก โดยมีจุดเชื่อมโยงถึงกัน”
เรื่องสั้นของกล้า ถ้าลองได้เปิดอ่านจะพบว่ามันอัดแน่นด้วยการเปรียบเปรย ใช้สัญญะเพื่อให้เกิดการตีความ การทับซ้อนกันปรากฏในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่ตัวละคร จนถึงฉากและบรรยากาศ
“ผมชอบเขียนเรื่องสั้นแบบปลายเปิด แล้วให้คนอ่านตีความกันเองว่าสิ่งที่อยู่ในเรื่องนั้นๆ ตกลงมันคืออะไรกันแน่ มันจริง มันหลอก หรือมันแค่เรื่องอุปาทานไปเอง อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรเลยก็ได้ เป็นแค่เรื่องจินตนาการ ผมชอบสร้างเรื่องเล่าให้เป็นเรื่องจริงครับ”
เรื่องสั้นแนวนี้ กล้ายอมรับว่าเขียนสนุกและท้าทาย คล้ายเป็นการหักมุม หรือหลอกคนอ่าน แต่ความยากคือพล็อตเรื่องต้องแม่นและแข็งแรง ไม่เช่นนั้นจะเผยถึงความเก่าและความเชยในงานเขียนได้
“เขียนยังไงให้สนุกมันยากนะครับ พล็อตเรื่องที่ว่าสดใหม่ ก็มีนะที่สุดท้ายพอแบไต๋ออกมาแบบเชยมากๆ ก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมด ทำยังไงล่ะที่จะไม่ทำให้เรื่องที่เขียนอยู่ไม่เชย ที่สำคัญต้องอ่านสนุกด้วย มันยากครับ”
แม้จะยาก แต่กล้าก็ผ่านด่านยากนั้นมาได้ วัดจากผลงานรวมเรื่องสั้นล่าสุด เขาสามารถสร้างเรื่องเล่าให้เป็นเรื่อง (เสมือน) จริงได้อย่างมีอรรถรส ชวนติดตามทุกๆ ตัวอักษร แถมยังเชื่อมโยงผู้อ่านให้ติดกับกับบรรยากาศ
นักเขียนวัย 37 ปี ยังบอกว่า หน้าที่ของเขาก็เป็นแค่คนเฝ้าสังเกตการณ์ นำพาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและฝรั่งเศสมาสู่คนอ่าน เพื่อให้คนอ่านทำหน้าที่ตีความจากเรื่องราวที่เขานำเสนอ อาจจะตีความคนละแบบกับเขา และคนอ่านหนึ่งคนก็อาจตีความต่างจากคนอ่านอีกหลายๆ คน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แต่มันเข้าทางของเขาที่ต้องการให้เป็นเยี่ยงนั้น
สำหรับกล้า เรื่องสั้นคืองานถนัดของเขา นวนิยายไม่เคยลอง เขาบอกติดตลกยังไม่มั่นใจในฝีมือ อีกอย่างการเขียนนวนิยายต้องใช้เวลาและพลังแรงกายแรงใจสูง เขาจึงยังไม่พร้อม ขอมุ่งมั่นกับการเขียนเรื่องสั้นก่อน ส่วนบทกวีเคยลอง แต่เขาก็ให้คำตอบว่ามันไม่ใช่
สิ่งที่หล่อหลอมให้เขาเอาดีและชอบการเขียน ก็เนื่องเพราะครอบครัวที่แวดล้อมไปด้วยหนังสือ แม้ครอบครัวจะไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไชว่าต้องอ่านหรือเขียน แต่เมื่อบรรยากาศพาไปจึงทำให้การอ่านการเขียนกลายเป็นเรื่องที่กล้าซึมซับไปโดยปริยาย
“พล นิกร กิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิต คือแรงบันดาลใจที่นำผมไปสู่โลกวรรณกรรม ค่อนข้างมีอิทธิพลสำหรับผมมากๆ หรืองานเขียนของ วินทร์ เลียววาริณ ก็ช่วยเปิดมุมมองความคิดใหม่ๆ ในการเล่าเรื่อง
รางวัลก็เป็นแรงผลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเอาจริงเอาจังกับการเขียนหนังสือ เพราะก่อนหน้านั้นผมก็เคยเขียนเรื่องสั้นส่งประกวดส่งนิตยสาร มีที่ได้ลงบ้าง ไม่ได้ลงก็เยอะครับ (หัวเราะ) ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของนักเขียน ที่มักมี 2 อย่างคือ เป็นคนถูกเลือกกับเป็นคนถูกปฏิเสธ”
กล้าเป็นบุตรชายของนักเขียนนักวิชาการ “ชัยสิริ สมุทวณิช” จบชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เรียนปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ต่อด้วยปริญญาโทที่คณะเดิม ทำงานที่แรกในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ที่ศาลรัฐธรรมูญ ก่อนจะคว้าทุนไปเรียนปริญญาเอกประเทศฝรั่งเศส ด้านศาลรัฐธรรมนูญและกฎหมายสากล
ข้อความต่างด้าว คือรวมเรื่องสั้นเล่มแรกของกล้า (สนพ.เคล็ดไทย) ซึ่งผลงานดังกล่าวยังมีชื่อติดโผลองลิสต์ เรื่องสั้น 20 เล่มสุดท้าย รางวัลซีไรต์ ปี 2554


