ย้อนตำนานถิ่นเมืองสองแคว
หากมีคนถามผมว่า พระพุทธรูปองค์ไหนงดงามที่สุด แวบแรกของความคิดต้องมีพระพุทธชินราชเป็นหนึ่งในนั้น
โดย...โยธิน อยู่จงดี
หากมีคนถามผมว่า พระพุทธรูปองค์ไหนงดงามที่สุด แวบแรกของความคิดต้องมีพระพุทธชินราชเป็นหนึ่งในนั้น พระพุทธรูปทองคำที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย วันนี้เราจึงเดินทางไปสู่ต้นกำเนิดพระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) อ.เมือง จ.พิษณุโลก
พระพุทธชินราชกับตาปะขาว
พระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกสองแควนี้ เป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัย มีพระวรกายอ่อนช้อย พระเนตรประดุจตากวาง พระนาสิกโด่ง นิ้วพระหัตถ์ทั้ง 4 ยาวเสมอกัน อยู่ในลักษณะปางมารวิชัย มีความเป็นมาตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 1900 สร้างโดยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) แห่งกรุงสุโขทัย ตำนานกล่าวว่า ครั้งนั้นมีการหล่อพระ 3 องค์ ได้แก่ พระศรีศาสดา พระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์
เมื่อเททองหล่อเสร็จแล้วพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาเสร็จสมบูรณ์ดี ส่วนพระพุทธชินราชนั้นได้หล่อถึง 3 ครั้ง ก็ไม่เสร็จเป็นองค์พระได้ กล่าวคือ ทองแล่นไม่ติดเต็มองค์ ตามตำนานกล่าวว่า พญาลิไททรงตั้งสัตยาธิษฐาน หากบุญบารมีของพระองค์ท่านเพียงพอขอให้หล่อเสร็จสมบูรณ์ทุกประการ
ไม่นานนักก็มีตาปะขาว ลักษณะเป็นชายแก่ถือไม้เท้ามาทูลขอพญาลิไท เป็นนายช่างใหญ่คุมการหล่อพระพุทธชินราชให้สำเร็จ พอได้เวลามหามงคลฤกษ์ ก็ได้ประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธชินราช คราวนี้ทองก็แล่นเต็มบริบูรณ์ตลอดทั้งองค์พระ
แกะออกมาก็พบว่าเป็นพระพุทธรูปที่งดงามจนหาที่ติไม่ได้ พญาลิไททรงปิติโสมนัสมาก เรียกหาตาปะขาว แต่มีชาวบ้านพบชีปะขาวเดินหายไปทางทิศเหนือ ชาวบ้านเชื่อว่าน่าจะเป็นพระอินทราธิราชแปลงกายลงมาช่วยให้งานสำเร็จ และทำให้พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่งามสุดองค์หนึ่งในพื้นพิภพ ประชาชนจึงสร้างวัดตาปะขาวหายเพื่อบูชาเทพตาปะขาวขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระศรีศาสดาและพระพุทธชินสีห์มาประดิษฐานไว้ที่วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
ดังนั้น ไม่ว่าใครที่เดินทางมาที่ จ.พิษณุโลก จะต้องเดินทางมากราบไหว้พระพุทธชินราชด้วยกันทั้งหมด ไม่อย่างนั้นเขาว่ามาไม่ถึงพิษณุโลกเมืองสองแคว
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระพุทธชินราช
นอกจากนี้ ด้านหลังพระวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระพุทธชินราช ที่เก็บรักษาวัตถุมงคล และวัตถุโบราณอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ถึงจะเป็นเป็นวิหารเล็กๆ แต่ข้างในก็มีของที่น่าสนใจไม่น้อย
เริ่มจากองค์เทพารักษ์ประจำเมืองพิษณุโลกที่สร้างตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นเทพารักษ์ประจำศาลเทพารักษ์ประจำเมือง แต่ย้ายมาจัดแสดงไว้ในตัวพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอันที่จริงแล้วสิ่งของที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองจะเอามาไว้ในพิพิธภัณฑ์เดี่ยวๆ ก็คงดูกระไรอยู่
เขาถึงเอามาไว้ในพระวิหารคู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ด้านหน้าของพระวิหารจะพบกับศิลาจารึกของรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งที่ทรงหล่อพระพุทธชินราชจำลองไปไว้ที่วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ ซึ่งในหลักศิลาก็ได้บันทึกว่าพระองค์ท่านทรงปลูกต้นไทรไว้ที่ด้านหน้าวัด ซึ่งไทรต้นนี้ก็ยังคงสูงใหญ่เป็นร่มไทรให้พสกนิกรที่มาเยี่ยมเยือนวัดจนถึงทุกวันนี้
ส่วนบริเวณรอบภายในพระวิหารจะเป็นข้าวของเครื่องใช้โบราณที่หาได้ยากและประเมินค่าไม่ได้ เช่น เครื่องถ้วยสังคโลก และเครื่องถ้วยเวียดนาม สมัยพุทธศตวรรษที่ 1922 รวมถึงเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์ชิง และราชวงศ์หยวน พุทธศตวรรษที่ 19 ดูแล้วก็เหมือนเครื่องถ้วยเก่าๆ ที่เราเคยเห็นตามร้านขายของเก่า แต่ถ้าเราบอกว่าเครื่องถ้วยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 19 ก็คือเครื่องถ้วยตั้งแต่สมัยสร้างเมืองพิษณุโลก คงจะการันตีถึงความเป็นของหาดูได้ยากแน่นอน
ล่องเมืองสองแคว
หลังออกจากวัดใหญ่ ก็ถึงเวลาที่เราจะได้ชมเมืองสองแคว ที่วันนี้แม้สภาพสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่ความเป็นสองแควก็ไม่เคยจางหายไป เพราะอย่างไรเมืองพิษณุโลกก็ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำแควน้อยอยู่เหมือนเดิม ถึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองสองแคว เพราะมีแม่น้ำใหญ่ถึง 2 สายพาดผ่าน
แต่ก่อนที่เราจะเดินทางไปเที่ยวชมเมือง เราขอแนะนำให้รับประทานก๋วยเตี๋ยวห้อยขากันเสียก่อน ความเป็นมาเป็นไปของการรับประทานก๋วยเตี๋ยวห้อยขานี้ไม่ทราบอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการรับประทานก๋วยเตี๋ยวที่ชิลที่สุดเท่าที่เคยรับประทานมา รับประทานไปแกว่งขาไป ชมวิวแม่น้ำน่านไปในตัว จนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนี่งของพิษณุโลกไปแล้ว
แนะนำว่าคนที่จะมารับประทานก๋วยเตี๋ยวห้อยขานี้ต้องมีจิตสำนึกค่อนข้างสูง เพราะคุณต้องมั่นใจจะไม่มีกลิ่นเท้าโชยมารบกวนขณะรับประทานอาหารถึงจะนั่งในตำแหน่งนี้ได้ ส่วนจะเลือกร้านไหนรับประทานก็ตามสะดวกครับ เพราะรสชาติและบริการไม่ต่างกันมาก
จากนั้นเราไปปิดท้ายกันที่ศาลสมเด็จพระนเรศวร ตั้งอยู่ที่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ซึ่งเป็นที่ตั้งพระราชวังจันทน์ สถานที่ที่พระองค์ท่านพระราชสมภพนั่นเอง ดังนั้นสมเด็จพระนเรศวรกับชาวพิษณุโลกจึงมีความผูกพันกันมาก หรืออาจจะเรียกได้ว่ามากกว่าจังหวัดอื่นๆ ที่มีศาลสมเด็จพระนเรศวรตั้งอยู่เหมือนกัน
การเที่ยวเมืองพิษณุโลกจึงนับว่าเป็นการเที่ยวที่ทำให้เรารำลึกถึงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า ซึ่งในประเทศไทยน่าจะมีเพียง 4 จังหวัด ที่ทำให้เรารู้สึกถึงเมืองที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ได้แก่ สุโขทัย พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ และที่สุดท้ายก็คงมีที่ จ.พิษณุโลก แห่งนี้นั่นเอง


