บุญเกียรติ โชควัฒนา กับบวกคิด ชีวิตบวก
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร / ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร / ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์
หากเรากวาดตามองผ่านชั้นวางหนังสือในร้านหนังสือชั้นนำ เราจะพบว่านอกจากหนังสือนิยายที่ขายดี และมีอยู่เกลื่อนกลาด หนังสือแนวธรรมะประยุกต์ก็มีอยู่บนแผงหนังสืออยู่มิใช่น้อย แต่จะมีหนังสือธรรมะประยุกต์สักกี่เล่มกันหนอ ที่อ่านง่าย ใช้ได้จริง
นี่เป็นการตั้งคำถามที่ผมพยายามค้นหาคำตอบด้วยตัวของผมเอง
จวบจนมีผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่งแนะนำให้ผมอ่านหนังสือ “บวกคิด ชีวิตบวก” ที่เป็นผลงานเขียนของท่าน ว.วชิรเมธี และบุญเกียรติ โชควัฒนา ขอสารภาพตามตรงว่า เบื้องต้นเมื่อรับหนังสือเล่มนี้ ก็แอบคิดในใจว่า สงสัยอ่านแล้วจะน่าเบื่อ เลยตั้งวางหนังสืออยู่บนโต๊ะทำงานเสียนานสองนาน ผ่านไปสักระยะ ลองหยิบเอามาอ่านเล่นๆ แต่ปรากฏว่าอ่านแล้วชักตระหนักถึงความจิรงอะไรบางอย่าง ยิ่งอ่าน ยิ่งปรารถนาจะได้พูดคุยกับผู้เขียน ซึ่งกับท่าน ว.วชิรเมธี อาจจะต้องใช้เวลาในการติดต่อนานสักหน่อย แต่พอลองติดต่อกับผู้เขียนอีกท่าน นั่นคือคุณบุญเกียรติ ปรากฏว่าท่านใจดีสละเวลาให้ผมได้เข้าไปร่วมพูดคุยถึงหนังสือเล่มนี้
และแล้วบ่ายวันหนึ่ง ผมก็ได้พูดคุยกับคุณบุญเกียรติ ยิ่งได้พูดคุย ยิ่งค้นพบว่าท่านเป็นนักธุรกิจและนักเขียนที่มีอารมณ์ขันอยู่มิใช่น้อย
“ตอนหนุ่มๆ สมัยที่ยังคิดลบอยู่ ผมไม่เคยคิดจะเขียนหนังสือ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีใครอ่าน แต่พอคิดบวกมากขึ้น ก็สังเกตว่าตัวเองมีเรื่องราวและมุมมองความคิดที่อยากจะแชร์ให้คนอื่น จึงลงมือเขียน โดยนำเสนอเรื่องธรรมะ ทั้งธรรมะโดยตรงและธรรมะโดยอ้อมด้วยวิธีการเล่าเรื่องราว อีกทั้งนำเสนอมุมมองความคิดและสอดแทรกสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์ให้คนอ่าน เพื่อเป็นการเสริมให้คนอ่านมีคุณธรรมมากขึ้นด้วย”
ด้วยความเป็นคนช่างสังเกต และชอบตั้งคำถามเพื่อค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เป็นประจำ จึงทำให้คุณบุญเกียรติเข้าใจชีวิตและทุกสิ่งบนโลกนี้ได้มากขึ้น
“กับหนังสือเล่มนี้ เป้าหมายของผมคือต้องการให้คนอ่านเข้าใจคำว่า อัตตา การยึดมั่นถือมั่น การยึดเป็นตัวกูของกูให้มากขึ้นว่า เมื่อมีอัตตาแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เมื่อลดอัตตาลงผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร อีกทั้งยังปรารถนาให้คนอ่านได้พิจารณาคำว่าปัญญาคืออะไร ใช้ปัญญา ใช้อย่างไร ซึ่งคำตอบของการใช้ปัญญาคือ ฝึกตั้งคำถามและตอบคำถามด้วยตัวเอง หากเราพยายามตั้งคำถามว่า สิ่งที่เรากำลังทำมันถูกหรือผิด นั่นก็ถือว่าเป็นการฝึกใช้ปัญญาในระดับเบื้องต้น”
สำหรับการคิดบวก คุณบุญเกียรติเผยว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญ การที่เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่มีแต่เรื่องราวลบๆ เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด หากเราคิดบวกได้ มันจะดีต่อตัวเราเองและผู้อื่น
“การคิดบวกให้ได้อย่างสัมฤทธิผล เราควรต้องฝึกคิดบวกอยู่เสมอๆ เพราะการคิดบวกต้องมีการฝึก”
หากถามถึงการแบ่งส่วนจากเวลาการทำงานมาเขียนหนังสือ คุณบุญเกียรติ เผยว่า ส่วนใหญ่จะเขียนหนังสือตอนไปเที่ยว นั่งเครื่อง นั่งรถไฟ นั่งเรือ และล่าสุดคือนั่งรอภรรยาแต่งตัว
“เวลาทำงานในบริษัท ผมไม่ค่อยมีเวลาเขียน อีกทั้งผมไม่ชอบเขียนหนังสือตอนกลางคืน เพราะอยากมีเวลานอนให้ครบ 8 ชั่วโมง ผมเลยอาศัยช่วงเวลาเขียนที่อยู่บนรถบนเรือเสียเป็นส่วนใหญ่ ช่วงเวลารอภรรยาแต่งตัว”
โดยส่วนตัวผมมักมีคำถามสงสัยว่า หนังสือที่คนดังทั้งหลายเป็นผู้เขียนนั้น เขาได้ลงมือเขียนจริงหรือเปล่า คุณบุญเกียรติก็ได้ยืนยันอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาลงมือเขียนเอง
“ผมเชื่ออยู่เสมอว่าการเขียนเองจะช่วยฝึกให้เราตั้งคำถามและตอบคำถามได้ด้วยตัวเอง ทำให้เราได้ทบทวนความคิด และทบทวนชีวิต และทุกสิ่งบนโลกใบนี้ไปด้วย”
ท้ายที่สุด คุณบุญเกียรติ เผยว่า สิ่งที่เขาปรารถนาอยากให้ผู้อ่านได้รับหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบลง นั่นคือการได้เรียนรู้วิธีลดอัตตา
“เมื่อเราลดอัตตาได้ ชีวิตจะดีขึ้น เบาขึ้น จิตสูงขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุด เราต้องคิดที่จะให้ แล้วเราจะลดอัตตาได้เองครับ”
หนังสือเล่มนี้มีท่าน ว.วชิรเมธี มาช่วยเขียนให้ด้วย
“จุดเริ่มต้นมาจากการที่ท่าน ว.วชิรเมธี ได้อ่านหนังสือของผมทุกเล่ม พอมีงานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ ท่านก็เชิญผมไปร่วมงานด้วย พอเจอกัน ท่านก็ชมว่าผมเขียนหนังสือดีมาก ท่านบอกว่าภาษาที่เราใช้มันเรียบง่ายเข้าถึงคนอ่านได้ดี และแนะนำให้คนอ่านเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง พอมาเล่มนี้ ท่านก็เลยมาช่วยเขียน และช่วยแปลพุทธพจน์เพื่อมาประกอบในแต่ละบทด้วยครับ”
อ่านแล้วได้บุญ
รายได้จากการจัดจำหน่ายหนังสือ ส่วนหนึ่งมอบสมทบทุนเข้ามูลนิธิวิมุตตยาลัย เพื่อสนับสนุนโครงการจัดหาทุนในการก่อสร้างอาคารวิปัสสนา และเรือนรับรองแก่ผู้ปฏิบัติธรรม ณ ศูนย์วิปัสสนาสากล ไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย


