2 ทายาทค่ายหนังเอ็นจีอาร์พี่น้องต่างขั้วขาว-ดำที่ลงตัว
หลังจากค่ายหนังเอ็นจีอาร์ ประสบความสำเร็จกับผลงานภาพยนตร์มาหลายเรื่อง เช่น “ล่า ท้า ผี” ในปี 2550 ต่อด้วย เรื่อง “มะหมา 4 ขาครับ” ในปี 2551 เรื่อง “คริต กะ จ๋า” และ “โลง ต่อ ตาย” ในปี 2552 “ออคโทเบอร์ โซนาต้า” ในปี 2553 ปี 2555 ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับเรื่อง “มะหมา ภาค 2” ซึ่งการันตีด้วยรางวัลทั้งในและต่างประเทศ
หลังจากค่ายหนังเอ็นจีอาร์ ประสบความสำเร็จกับผลงานภาพยนตร์มาหลายเรื่อง เช่น “ล่า ท้า ผี” ในปี 2550 ต่อด้วย เรื่อง “มะหมา 4 ขาครับ” ในปี 2551 เรื่อง “คริต กะ จ๋า” และ “โลง ต่อ ตาย” ในปี 2552 “ออคโทเบอร์ โซนาต้า” ในปี 2553 ปี 2555 ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับเรื่อง “มะหมา ภาค 2” ซึ่งการันตีด้วยรางวัลทั้งในและต่างประเทศ
ล่าสุดปีนี้ขอเปลี่ยนแนว นำเสนอภาพยนตร์รักคุณภาพ กระชากอารมณ์รักให้ซาบซึ้งไปถึงขั้วหัวใจ กับภาพยนตร์เรื่อง “เลิฟ อีส” ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการถ่ายทำโดย การัณยภาส ขำสิน ผู้กำกับมือทอง
จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว ส่งผลให้ 2 พี่น้องทายาทค่ายหนังเอ็นจีอาร์ อย่าง เบียร์ธนธัช ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม และ บีมรุสนันท์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม ทายาทของ ณภัทร ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม ต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อพิสูจน์ฝีมือ ซึ่งเมื่อ 2 พี่น้องได้ทำงานร่วมกัน ทั้งคู่ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ามีความสุขมาก
เบียร์ธนธัช ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม
‘ทำงานกับน้องแล้วมีความสุข’
หลังจากได้ร่วมทำงานกับน้อง (บีมรุสนันท์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม) ก็รู้ว่าระบบการทำงานของน้องมันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนควรจะเป็น สิ่งดังกล่าวทำให้ผมได้ระบบ ระเบียบในการทำงานมากจากน้อง หลังจากก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้เลยว่าระเบียบในการทำงานเป็นอย่างไร สิ่งที่น้องทำน้องบอกมันเป็นความชัดเจนที่บอกได้เลยว่าไม่ต้องเยิ่นเย้อ พอได้ทำงานด้วยก็สบายใจ
สำหรับมุมของความเป็นพี่ที่ได้ร่วมงานกับน้อง เบียร์ เล่าต่อว่า การได้ทำงานกับน้องมีความสุขมาก เพราะไม่เคยคิดเลยว่าการได้ทำงานกับน้องจะมีความสุขอย่างนี้ เพราะส่วนใหญ่เคยแต่ได้ยินมาว่าพี่น้องทำงานร่วมกันมีแต่ตบตีต่อยกัน ซึ่งเราก็เป็นแต่เราเป็นไปด้วยความเข้าใจกันในทุกเรื่อง เพราะเรามีความคิดความรู้สึกและมีเป้าหมายในการทำงานที่ตรงกัน แชร์กัน เดินมาหากันคนละครึ่งทาง เลยทำให้การทำงานของเราลงตัว
“ตอนแรกที่ทำงานร่วมกัน ยอมรับว่ามีความสับสน เพราะการที่น้องบอกเราจะรับฟังในฐานะอะไรระหว่างเอกเซ็กคิวทีฟ โปรดิวเซอร์ กับโปรดิวเซอร์ จับความรู้สึกไม่ถูก แต่พอได้มาทำงานร่วมกันจริงๆ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเบาบางมาก เมื่อเรามีจุดเป้าหมายเดียวกันว่าสิ่งที่เราทำคืออะไร ถ้าความรู้สึกและความเข้าใจตรงกันทุกอย่างก็สบาย มีความสุข ตื่นเช้ามาทุกวันก็อยากเข้าออฟฟิศทุกวัน มาเจอทอส (การัณยภาส ขำสิน ผู้กำกับเพื่อนของเบียร์) มาเจอบีม เจอทีมงาน ได้ทำงานร่วมกัน ได้หัวเราะด้วยกันมีความสุข ทำงานกับน้องแล้วมีความสุขมาก”
เบียร์ เล่าต่อว่า บางวันเข้ามาในออฟฟิศแล้วไม่เจอน้องมีความรู้สึกว่า แล้ววันนี้เราจะคุยกับใคร ก็ไลน์ถามทอสว่าไปไหนกัน ทำไมไม่มีใครเข้าออฟฟิศ พอถามเสร็จเลยพยายามเอาตัวเองไปเตร็ดเตร่ข้างนอก และคิดในใจว่าวันนี้ไม่มีอะไรทำเลยหรอ ไม่มีใครเข้าออฟฟิศเลยหรอ ทำไมชีวิตมันว่างเปล่าอย่างนี้
“ก่อนหน้านี้พยายามหาว่าสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้มันใช่หรือเปล่า จนน้องได้เข้ามาทำงานด้วยกัน เข้ามาเติมเต็ม ทำให้เรามีความมั่นใจว่าเราอยากทำหนังไปตลอดชีวิต เพราะน้องให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ ถ้าอยากทำก็ลองดู จึงทำให้เกิดโปรเจกต์ที่หลากหลาย ด้วยความที่เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก โตมาด้วยกันทำให้เห็นไส้เห็นพุงกันหมด เฮียเป็นอย่างไร หนูเป็นยังไง”
หลังจากแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง เบียร์ เล่าว่า พอน้องกลับมาและได้ทำงานร่วมกัน ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาน้องไปเจออะไรมาบ้าง ไปอยู่ในสังคมแบบไหนมา สิ่งเหล่านี้ทำให้น้องมีความเข้มแข็ง ซึ่งต่างไปจากเราที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร ตื่นเช้ามาไปส่งลูก เข้าออฟฟิศทำตัวเหมือนอยู่ที่บ้าน จนทำให้โดนว่าบ่อยๆ ว่า ฮาร์ดคอร์เกินไป
“คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันชอบแต่งตัวแบบโฆษณา ซึ่งต่างไปจากเราที่ติดดินจริงๆ เพราะอยากให้ทุกคนมองเราที่ผลงานของเรามากกว่าการแต่งตัว เราเป็นคนชอบทำงาน ยิ่งพอได้ทำงานกับเพื่อนสนิทกับน้องยิ่งทำให้มีความสุข”
สำหรับความแตกต่างที่ 2 พี่น้องมี เบียร์ เล่าว่า ผมทำอะไรที่ไม่ค่อยเป็นระบบ ขณะที่บีมทำทุกอย่างเป็นระบบ มันเลยทำให้ภาพที่ออกมาเราดูโผงผาง แต่ทุกอย่างเราคุยกันได้ เพราะเราพูดภาษาเดียวกัน เข้าใจกัน มีเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งทุกอย่างของการทำงานร่วมกัน คือ การปรับตัวเข้าหากัน
บีมรุสนันท์ ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม
เบียร์กับบีมเหมือนขาวกับดำ
“เบียร์บีมสนิทกันมากไม่ว่าจะกินข้าวนอนตี 1 ตี 2 เราก็อยู่ด้วยกัน บีมเคยนั่งอยู่ตี 1 ตี 2 แล้วก็นั่งอยู่ด้วยกันนั่งคุยกันไม่หลับไม่นอน บางครั้งบีมแค่ส่งไลน์ไปว่าอย่าลืมเช็กนะว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้าง สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงปิ้งปิ้งตอบกลับมาของพี่เบียร์ ไม่มีใครยอมหลับยอมนอน มันเป็นความรู้สึกแบบบ้าที่ไม่เคยเจอ”
ในด้านของการทำงานบีมกับเบียร์คุยกันมากๆ คุยกันมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองที่คุยกันมากที่สุด คือ หัวหน้าโปรเจกต์ หรือผู้กำกับ ถ้าคุยกับผู้กำกับจบปุ๊บ สิ่งที่เป็นอันดับต่อไป คือ คุยกับทีม ซึ่งจะเป็นอย่างนี้ในทุกๆ ครั้ง จะเป็นไปตาม Loop ของการทำงาน
หากเปรียบเทียบการใช้ชีวิตระหว่างเบียร์กับบีม บีม เล่าว่า มันจะเป็นขาวกับดำทุกอย่าง บีมใส่สูท เบียร์ไม่ใส่ บีมพูดภาษอังกฤษ เบียร์ไม่พูด บีมเป็นเอ เบียร์เป็นบี มันเป็นอะไรที่ไม่สามารถสมานกันได้ เหมือนต้นบ๊วยคู่นั้นที่เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่อง เลิฟ อีส ต้องบอกก่อนว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้มันมีโจทย์อยู่ว่า บ๊วยคู่ มันเป็นคนละต้นกัน และมันก็โตขนานกัน แต่เมื่อมันโต กิ่งไม้ใบไม้มันจะโน้มเอียงเข้าหากันเป็นซุ้ม
อย่างไรก็ตาม มันก็คือคนละต้นไม่มีทางที่จะเป็นต้นเดียวกันได้ สิ่งหนึ่งที่พี่ทอส (การัณยภาส ขำสิน) บอกบีม คือ ต้นบ๊วยคู่ มันก็เหมือนกับเราที่ต่างคนต่างเกิดต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป แต่มันสามารถเชื่อมเข้าหากันได้ด้วยสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวนั่น ก็คือ การเอาใจมาคล้องกัน การมีความรักให้กัน
“มันก็เหมือนกับเอ็นจีอาร์ เหมือนกับทุกคน มันเหมือนเบียร์ มันเหมือนบีม มันคือที่แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเอง บีมมาร์เก็ตติ้งมาก ดูแลธุรกิจแบบอินไซด์เอาต์ แต่เบียร์นี่ไม่สนใจในพาร์ตของเอาต์ไซด์เวิลด์ เบียร์จะอินของเขาอยู่ในบ้านของเขา เขาทำทุกอย่างที่เพอร์เฟกต์ของในบ้านหลังนั้น แต่เมื่อจะออกจากบ้านปุ๊บ ถ้ามีบีมไปไป ถ้ามีบีมไปด้วยดี ถ้าไปคนเดียวไม่ทำเลย ทำอะไรต้องช่วยกัน”
บีม เล่าต่อว่า ด้วยความที่เรา 2 คนพี่น้องมีความแตกต่างกัน อย่างที่บอกไป ถ้าบีมเป็นสีขาว เบียร์เป็นสีดำ ถ้าบีมเป็นสีดำ เบียร์เป็นสีขาว บีมอาจจะเดินเกี่ยวเทามาบ้าง เช่นเดียวกับเบียร์ที่อาจจะเกี่ยวเทามาบ้างเช่นกัน แต่นั่นคือตัวตนและต่างที่เรามีต่างกัน เราจึงทำงานร่วมกันได้ คุยกันได้ มีการปรึกษากันตลอด ถ้าบีมจะทำแบบนี้ พี่เบียร์ว่าไง ทุกวันนี้ทุกคนต้องทำงานร่วมกัน ไม่มีใครฟันโชะได้
ในเรื่องของการทำงาน ก่อนจะเซ็นสัญญาทำงานกับใคร จะดูก่อนว่าเบียร์กับบีมแฮปปี้หรือไม่ ถ้าแฮปปี้ก็เดินต่อ ในฐานะที่เราเป็นผู้อำนวยการสร้างก็จะมีคนถือพล็อตหนังมาให้เราช็อปปิ้ง ซึ่งรูปแบบการช็อปของเบียร์กับบีมจะต่างจากคนอื่น คือ เราจะช็อปคนเขียนพล็อตเรื่อง และขอดูผู้กำกับในฝันว่าต้องการแบบไหน เพราะการทำงานทุกครั้งเราจะให้เขาเป็นคนดำเนินงาน
และทั้งคู่คือพี่น้องที่มีความต่างอยู่บนความลงตัวที่พร้อมจะลุยงานไปด้วยกัน


