3 คืนในคฤหาสน์เฉิงฟัตเจ๋อ
โดย...หนูดี–วนิษา เรซ
โดย...หนูดี–วนิษา เรซ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หนูดีได้แวะไปเที่ยวเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เมืองไทยมากจนคนมองข้ามและไม่ได้ติดในท็อปลิสต์ที่เราอยากไปกันสักเท่าไหร่มาหลายปีแล้ว ไม่เหมือนญี่ปุ่น ฮ่องกง หรือเกาหลี ที่ฮอตฮิตติดลมบน
เมืองนี้ คือ เมืองปีนังค่ะ
ขนาดหนูดีชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยววีกเอนด์นี้ ยังโดนถามเลยว่า ไปทำไม ปีนัง มีอะไรให้ดูเหรอ
แหม...ไม่รู้อะไรเสียแล้ว
เมืองปีนังได้เป็นเมืองมรดกโลก แต่งตั้งโดยยูเนสโกตั้งแต่ปี 2551 และมีบ้านโบราณแท้ๆ แบบวินเทจถึง 482 หลัง ทั้งในและนอกเขตเมือง โดยเมืองปีนังได้ขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกถึง 20 ปีเต็มกว่าจะผ่าน โดยกว่าจะเตรียมเมืองและทำตามกฎระเบียบถูกต้องทุกอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จึงได้กินเวลาถึง 20 ปีเต็มอย่างที่เห็น และในเวลานี้ตึกเก่าทุกตึกในเมืองนี้ได้ถูกปกป้องโดยคณะกรรมการกลางและจะเป็นแบบนี้ตลอดไป เพื่อรักษาความสวยงามและประวัติศาสตร์ไว้ให้เราเห็นไปจนชั่วรุ่นลูกรุ่นหลาน
คนที่แนะนำให้หนูดีไปเที่ยว คือ น้องหนูหวานค่ะ โดยน้องได้ไปมาก่อนเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว กลับมาบ้าน คุยฟุ้งเลยว่า เมืองสวยอย่างนั้นอย่างนี้ อาหารอร่อยเทพ อร่อยกว่าปารีสอีก (น้องหวานเป็นสาวกของเมืองปารีส เวลาไปที ไปอยู่เป็นเดือน เพราะเธอเป็นดีไซเนอร์ จึงคิดว่าปารีสเป็นเมืองเจ๋งที่สุด) ถ้าน้องบอกว่า เมืองนี้อาหารอร่อยกว่าปารีส หนูดีก็คงมองข้ามไม่ได้เสียแล้วล่ะ
แต่สารภาพว่า ตอนแรกที่น้องบอกว่าพี่หนูดีต้องไปปีนังนะ หนูดีไม่ได้อยากไปเล้ย ถามกลับไปเลยว่า ไปทำไม ไม่เอาหรอก เสียเวลาทำงาน ช่วงนี้งานยุ่งมาก ปลายปีขอเก็บงานก่อนนะ แต่ในที่สุดคุณแม่อยากไปค่ะ หนูดีก็เลยติดไปเป็นกระเป๋าเสริม ตามไปดูแลและกินขนม
ก่อนไป น้องหวานบอกว่า ให้จองโรงแรม Campbell House ซึ่งเป็น Bed & Breakfast ที่ดีที่สุดในเมืองปีนัง มีอาหารเช้าที่อร่อยมากๆ อาหารเย็นก็อร่อย อะไรๆ ก็อร่อย ห้องนอนก็สวย ฯลฯ หนูดีพยายามจองแล้ว แต่ไม่รอดค่ะ ห้องเต็ม ไม่อย่างนั้นก็ต้องย้ายห้องทุกคืน แต่ที่น่าสนใจ คือ ห้องแต่ละห้องตกแต่งเป็นธีมแตกต่างกันไป เช่น ห้องอินโดจีน ห้องส่าหรี ฯลฯ แต่ในที่สุดคิดว่า ย้ายห้องทุกคืนไม่ไหว จึงต้องดูโรงแรมอื่นๆ ที่เป็นบูติกโฮเต็ลสวยๆ ที่ทำจากบ้านโบราณ
โทรไปถามเพื่อนที่เรียนจบจากปีนัง เพื่อนแนะนำว่า ให้จองโรงแรมหรู เล็ก น่ารัก คือ Muntri Mews ที่เป็นคอกม้าเก่ามาก่อน (โห...ให้นอนคอกม้านี่นะ!) แต่ดูแล้วสวยค่ะ เล็กแต่ตกแต่งดีมาก หรือให้จอง Lovelane Hotel ซึ่งติดอันดับท็อปเทนโรงแรมโรแมนติกของเมือง อยู่บนถนน Lovelane (แถมประวัติถนนนิดหนึ่งค่ะ ในอดีตเศรษฐีของเมืองเวลามีภรรยาน้อยจะมาปลูกบ้านให้บนถนนสายนี้ พอมีหลายๆ หลังติดกันเข้า ชาวเมืองจึงเรียกเล่นๆ ว่า เลิฟเลน เพราะมีภรรยาน้อยสวยๆ เต็มไปหมด) แต่ในที่สุดมีชื่อโรงแรมแห่งหนึ่งโดดเด่นเข้าตา ไม่ดูไม่ได้จริงๆ คือ “เฉิงฟัตเจ๋อแมนชั่น”
เห็นแล้วต้องสะดุด นี่มันโรงแรมหรือโรงเตี๊ยมนี่ หนูดีขำใหญ่ และพอดูรูปก็เห็นว่า เป็นโรงแรมแนวจีนที่ตกแต่งเลียนแบบของเก่าได้ไม่เลวเลย ตัวบ้านทาสีฟ้าสด มีสามล้อถีบ มีสวนกลางบ้าน ว่าแล้วก็คลิกจอง 3 คืน และก็ตื่นเต้นใหญ่ที่จะไปนอนโรงแรมแนวเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
จองเสร็จ เข้าไปดูประวัติแล้วขนลุกค่ะ หนูดีมองพลาดไปมาก นึกว่าของทำเทียมเลียนแบบ ที่ไหนได้ นี่คือบ้านเก่าของมหาเศรษฐีเฉิงฟัตเจ๋อ (สำเนียงคนปีนังเรียก มิสเตอร์จงฟัตซี่) สร้างตั้งแต่ปี 2423 ผู้สร้างตัวจากศูนย์จนมีมหาอาณาจักรที่ประกอบธุรกิจทั้งในมาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ โดยเริ่มต้นจากการขายพริกไทยให้กับดัตช์และอังกฤษในยุคอาณานิคม โดยสมัยนั้นสมุนไพรหายากมากสำหรับฝรั่ง หากใครคิดซื้อพริกไทย 1 กก. ต้องเอาทองคำ 1 กก.มาแลกกัน (ถึงว่า รวยเร็วมาก)
คฤหาสน์เฉิงฟัตเจ๋อ มีถึง 38 ห้องนอน 5 สวนในบ้านแบบที่เรียกว่า คอร์ตยาร์ต และมี 200 หน้าต่าง ตระกูลนี้ลูกหลานไม่สามารถรักษาสมบัติของต้นตระกูลไว้ได้ ในที่สุดต้องขายบ้านนี้ทอดตลาดในปี 2532 และได้อนุรักษ์ปรับปรุงจนกลายมาเป็นโรงแรมสี่ดาว มีเพียง 16 ห้องพักเท่านั้น (แต่ปีหน้าโรงแรมจะเพิ่มสระว่ายน้ำ สปา ร้านอาหารหรู และบาร์ที่ดาดฟ้า และจะขึ้นทะเบียนใหม่เป็นโรงแรมห้าดาวค่ะ ใครที่อยากไปจึงควรรีบจอง เพราะราคาจะขึ้นจากคืนละประมาณ 4,000 บาท กลายเป็นเกือบ 1 หมื่นบาท ข้อมูลนี้สตาฟฟ์แอบมากระซิบ หนูดีเลยกระซิบต่อ เปิดตัวใหม่เป็นห้าดาวในปี 2557 เดือน เม.ย. ขณะนี้กำลังปรับปรุงปีกขวาของบ้านทั้งหมด)
บ้านหลังนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบของบ้านที่สวยที่สุดในโลก แต่ที่สุดยอดไปกว่านั้น คือ ได้รับรางวัล World Cultural Heritage จาก UNESCO ในปี 2543 ว่าเป็นบ้านโบราณที่อนุรักษ์ได้สวยที่สุดในโลก
เมื่อไปถึงบ้านสวยกว่าที่เห็นในรูปตอนจองหลายเท่า ตอนแรกคิดว่า บ้านโบราณจะดูหลอนไหม น่ากลัวผีไหม แต่พอได้อยู่จริงๆ แล้วมีแต่ความอบอุ่นและสบายใจ นอนหลับสบาย ไม่มีอะไรรบกวนเลย หลับลึกอีกต่างหาก ตอนกลางคืนหนูดีเอาคอมพิวเตอร์ออกมานั่งพิมพ์งานในคอร์ตยาร์ต เลยเข้าใจว่า มีสวนกลางบ้านมันดีอย่างนี้เอง เป็นส่วนตัวดีจริงๆ
บ้านหลังนี้เปิดทัวร์ให้บุคคลทั่วไปเข้ามาเยี่ยมชมเป็นรอบ รอบละ 1 ชั่วโมง วันละ 3 รอบ คือ 11.00 น. 13.00 น. และ 15.00 น. ส่วนแขกในแบบหนูดีได้ทัวร์ฟรี แต่เชื่อไหมคะ เมืองปีนังนี้มีอะไรให้ทำมากมาย ทั้งๆ ที่รักคฤหาสน์เฉิงฟัตเจ๋อแห่งนี้มาก แต่สี่วันสามคืนที่นอนที่นี่ หนูดีมัวแต่วิ่งไปมารอบเมือง ไม่ได้ตามไปทัวร์ดูบ้านที่ตัวเองมานอน ได้แต่นั่งเอนจอยในสวนกลางบ้านทั้งเช้าและค่ำ ส่วนเมืองนี้มีอะไรบ้าง สัปดาห์หน้ามาเล่าให้ฟังค่ะ


