รู้จัก ‘บัณฑูร ล่ำซำ’ ผ่าน ‘สิเนหามนตาแห่งลานนา’ ลมหายใจสุดท้ายคือ ‘น่าน’
นิยายเรื่อง “สิเนหามนตาแห่งลานนา” คืออัตชีวประวัติผม “บัณฑูร ล่ำซำ” ซีอีโอแบงก์กสิกรไทย
โดย...กองบรรณาธิการ ภาพ: ไม่เครดิต
นิยายเรื่อง “สิเนหามนตาแห่งลานนา” คืออัตชีวประวัติผม “บัณฑูร ล่ำซำ” ซีอีโอแบงก์กสิกรไทย กล่าวอย่างหนักแน่นและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในผลงานสร้างสรรค์จินตนิยายอิงตำนานและประวัติศาสตร์เมืองน่าน
“ผมเขียนเองทุกตัวอักษรตั้งแต่ต้นจนจบ” บัณฑูร ตอบ เมื่อมีคนสงสัยว่านายแบงก์อย่างเขาน่ะหรือจะนั่งลงจรดปากกาเขียนนิยายด้วยตัวเอง เขาหยิบต้นฉบับที่มีลายมือขยุกขยิกหงิกๆ งอๆ (อ่านยากมาก) มาให้ดูทั้งปึก พร้อมหัวเราะขำๆ ว่า “ต้องเขียนเพราะพิมพ์ดีดไม่เป็น” เขียนแล้วให้เลขาฯ พิมพ์ แล้วเอามาตรวจแก้หลายรอบ
“ตรวจกันแปดรอบสิบรอบ กว่าจะพิมพ์” เขาพิถีพิถันกับทุกตัวอักษรของหนังสือนิยายเล่มนี้ ที่หนาถึง 580 หน้า
“เขียนเข้าไปได้ยังไง มีความสุขหรือว่าเครียดเวลาเขียน” เพื่อนฝูงถามไถ่ และบัณฑูรก็ตอบว่า “ตอนคิด ตอนเขียน ตอนจินตนาการ มีความสุข สนุกไปกับเรื่องและตัวละคร แต่เครียดตอนที่ถูกทวงต้นฉบับ เพื่อที่จะไปจัดพิมพ์ให้ทันวันแซยิด 15 ม.ค. 2556”
แต่ก็ไม่ทัน เพราะงานแบงก์เยอะเหลือเกิน ปลีกตัวแทบจะไม่ได้เลย การเขียนหนังสือต้องมีเวลา มีสมาธิ และกว่าจินตนาการจะไหลลื่น มิอาจนั่งลงปุ๊บ เคาะเครื่องพิมพ์ปับๆ ได้ บัณฑูร เล่าว่า “บางทีพอมีเวลาหัวค่ำกะจะลงมือเขียน ที่ไหนได้นั่งอยู่นานเป็นชั่วโมงๆ ปาเข้าไปเที่ยงคืน เขียนถึงตีสี่ เพราะเหมือนมีเทวดามาดลใจ มาช่วยเขียน หยุดไม่ได้” เขาใช้เวลาเขียนทั้งสิ้น 1 ปีกับอีก 1 เดือน แต่เวลาที่ใช้เขียนจริงๆ อาจจะเพียง 60 วัน
เรื่องนี้พระเอกตายตอนจบ ซึ่งบัณฑูรเล่าว่า “พระเอกตายบนเรือบินที่กำลังบินผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก” คนฟังงง เขาเฉลยว่า เขียนตอนจบตอนที่นั่งเรือบินกลับจากธุรกิจที่แอลเอ
บัณฑูรเปิดตัวหนังสือนวนิยาย “สิเนหามนตาแห่งลานนา” ไปเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา และเป็นหนังสือขายดีมาหลายเดือน จนป่านนี้ จากยอดพิมพ์จำนวน 2 หมื่นเล่ม อาจมีหนังสือเหลือตามร้านหนังสืออีกไม่มากนัก
เมื่ออ่าน “สิเนหามนตาแห่งลานนา” แล้ว ทุกคนที่รู้จักบัณฑูรอย่างใกล้ชิดจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คำพูด ความคิด ทัศนคติ วิถีชีวิต บุคลิก อารมณ์ขัน ของตัวละครเอก แท้ที่จริงคือ บัณฑูร นั่นเอง
จึงมีการบอกต่อๆ กันว่า “ใครอยากรู้จักตัวตนของบัณฑูร ให้อ่านสิเนหามนตาแห่งลานนา ใครรู้จักบัณฑูรแล้ว ให้อ่านสิเนหามนตาแห่งลานนา จะรู้สึกเหมือนเขามาเล่าเรื่องราวต่างๆ อยู่ข้างหู”
เรื่องของเรื่องเริ่มว่า รุ้งราตรี (นางเอก) สาวสวยจากเมืองกรุง เดินทางไปท่องเที่ยวน่านกับสองหนุ่มวัยรุ่น การท่องเที่ยว 7 วันนั้น บัณฑูรเล่าถึงสถานที่ต่างๆ ทั้งประวัติ ทั้งตำนาน ผ่านสายตาของรุ้งราตรีอย่างละเอียดลออ จนกล่าวได้ว่าเป็นหนังสือนำเที่ยวน่านอย่างที่คนน่านบางคนยังไม่รู้ละเอียดถึงปานนั้น
แต่ที่บอกว่าเป็นนิยาย ก็ไม่ได้เป็นนิยายแบบ “โรมรำลึก” หรือ “7 Nights in Japan” แต่ 7 วันที่น่าน รุ้งราตรีต้องมนต์ เคลิบเคลิ้ม ประหนึ่งฝันไปในบางช่วงบางตอน เลื่อนลอยไปในอดีตกว่า 600 ปี ในวรนคร และนันทบุรี ที่ปัจจุบันคือ อ.ปัว และ อ.เมือง จ.น่าน
ที่วรนคร เมื่อกว่า 600 ปีนั้น พระญาผาสุริยา ผู้ครองนครมุ่งมาดปรารถนาที่จะพัฒนาทะนุบำรุงบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขและรุ่งเรือง แต่ก็ต้องต่อสู้ปกป้องบ้านเมือง รบทัพจับศึก มีฉากชนช้าง มีฉากยิงกระสุนไฟ ดีดก้อนหินแบบโบราณ
นอกจากศึกสงครามแล้ว พระญาผาสุริยา ยังต้องเผชิญศึกรักกับเหล่า “อีหล้า” ถึง 9 นาง บทอัศจรรย์แต่ละนางนั้น ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนักว่า นี่บัณฑูรหรือนี่ เขาหัวเราะเมื่อตอบว่า “มันนิยายน่ะ จะมาเอานิยายอะไรกับผม”
ตัวอย่างบทกลอนในหนังสือก็เช่น “ไซ้กระซิบซ่านสวรรค์ ออเซาะฉันท์กระสันหา รักนวลนางแสนโสภา โอบกายามาแนบกัน” (จากหนังสือ หน้า 70 บทกลอนจากนี้ โป๊กว่านี้)
นางแรกนั้น คือ มะไฟ ที่พระญาผาสุริยาบอกรุ้งราตรีในความเคลิ้มฝันว่า “สูน่ะชื่อ มะไฟ” จึงเป็นการบอกความนัยแก่ผู้อ่านว่า รุ้งราตรี คือ มะไฟกลับชาติมาเกิด
ในความรักของมะไฟที่มีต่อพระญาผาสุริยา นางหวังเป็นรักเดียว เป็นนางเดียวหรืออย่างไร นางจึงใช้เสน่ห์มนต์ดำ หวังครอบครองพระญาผาสุริยามิให้เจือจานรักแก่หญิงอื่นอีก 8 นาง อันนับเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เท่ากับการปองร้ายต่อผู้ครองนคร
มะไฟจึงต้องโทษประหาร ตามกฎกติกาแห่งพูคา ที่พระญาผาสุริยาบอกลาประโยคสุดท้ายก่อนนำมะไฟไปถ่วงน้ำว่า “ป้อฮักสูนักนะมะไฟ ขออย่าได้ข้องใจ๋ ป้อจำใจ๋ต้องรักษากติกาแห่งพูคา ขออย่าถือสาต่อไปในภายภาคหน้า” (หน้า 407)
รุ้งราตรีจึงกลับมาที่น่านอีกครั้ง มาเพื่อฟังคำขอโทษจากพระญาผาสุริยา
7 วันที่น่าน ในหนังสือ 580 หน้า บัณฑูร ล่ำซำ ผู้ปวารณาตนเป็นคนน่าน นำผู้อ่านท่องเที่ยว และชวนชิมอาหารทุกซอกทุกมุม เคลิ้มฝันไปในอดีตกว่า 600 ปีของน่าน อ่านแล้วรู้สึกเป็นจริงเป็นจัง แต่บัณฑูรบอกว่า “โม้เอาทั้งนั้น”
เรื่องจริงจึงมีอยู่ว่า “ผมเขียนเองจริง ผมค้นคว้าตำนาน ประวัติ ศึกษาภาษาลานนาจริง ความคิด ทัศนคติต่างๆ การมองโลกของผมจริง ภาษาพูด ภาษาเขียน สำนวนเป็นผมจริง ที่เขียนด่านักการเมือง ก็ผมจริงๆ”
นี่คือตัวอย่างตัวตนของบัณฑูร ที่สะท้อนผ่านในเล่ม
พระญาผาสุริยาหลับตาด้วยความเสียใจ นึกถึงคำสอนของปู่ครูบาอุปัชฌาย์เจ้าว่า
“...มีหน้าที่ ก็ต้องทำหน้าที่ มิฉะนั้นก็อย่ามารับตำแหน่งที่มีหน้าที่นั้น...ยกจิตให้ลอยเหนืออารมณ์อันเป็นโทสะนั้น...กรรมนี้เฮาต้องทำ เพราะมันเป็นหน้าที่...” ลืมตาขึ้นมามองทหารหนุ่มใหม่สามคนที่คุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่เบื้องหน้าด้วยความเข้าใจ เพ่งจิตเมตตาให้ แล้วมีอาชญาดังลั่น
“เอามันไปกุ๊ดหัว คั่วแกง เดี๋ยวนี้”
และ
“คนหรือคณะหรือแม้กระทั่งชนชั้นที่มีอำนาจเป็นใหญ่น่ะ ต้องทั้งเก่งและมีเมตตาธรรมต่อผู้อยู่ในปกครองหรือผู้ที่ด้อยกว่า ทั้งในกำลังทรัพย์และสติปัญญา ต้องมีวิธีที่จะสร้างความสมบูรณ์พูนสุขให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และต้องดูให้ความสมบูรณ์พูนสุขได้ถูกแบ่งปันกันออกไปโดยถ้วนหน้า ไม่ใช่ว่าต้องได้เท่ากันหมด แต่ให้มีกติกาที่เหมาะสม เพื่อให้พออยู่ด้วยกันไปได้ ต้องหาวิธีที่จะให้ผู้อยู่ในปกครองเรียนรู้ที่จะช่วยตัวเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ และต้องมองไปในอนาคตว่าจะรักษาไว้และเสริมสร้างความสมบูรณ์พูนสุขนี้อย่างไร แต่ที่สำคัญมากก็คือ ไม่ลุแก่อำนาจแล้วใช้ความเหนือกว่าในทุกด้านนั้นไปข่มเหงผู้ที่ด้อยกว่า เพียงเพราะเขาทำไม่ถูกใจหรือไม่เป็นที่ถูกใจ ในทางตรงกันข้าม กลับจะต้องใช้อำนาจที่มีอยู่นั้นกำราบการข่มเหงกันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในระดับชั้นต่างๆ” (หน้า 424425)
เมื่อถามว่า แล้วนางทั้งแปดทั้งเก้า?
“โม้เอา ฝันเอา” บัณฑูรพูดพลางหัวเราะครึกครื้น และนี่คือตัวตนที่แท้จริงของ บัณฑูร ล่ำซำ นายแบงก์ใหญ่ ผู้ได้ชื่อว่า “ฝีปากกล้า” “ฝีมือดี” พูดเมื่อไหร่ ทำอะไร เขย่าวงการเมื่อนั้น
เมื่อจับปากกาเขียนนิยาย ก็กลายเป็น “ปากกาคม” จนผู้อ่านติดใจ รอเมื่อไหร่จะมีภาคสอง แต่บัณฑูรรีบปัดเป็นพัลวัน “ไม่เอาแล้ว พอแล้ว ไม่เขียนแล้ว”
เขาไม่เขียนต่อเพราะพระเอกตายแล้วเมื่อนิยายจบ แต่ชีวิตจริงยังอยู่ ที่บัณฑูรจะสานต่อความตั้งใจของพระญาผาสุริยา ที่บอกว่า “ในภายภาคหน้า ตนเป็นเจ้าจะกลับมาทำงานต่อให้จบตามหน้าที่” (หน้า 546)
ภาคหน้า ก็คือวันนี้
และทุกวันนี้ ทุกลมหายใจของบัณฑูร คือ น่าน


