คุมทีมสไตล์ราชันมังกร กับธนวัชร์ นิติกาญจนา
“ทีมราชบุรี มิตรผล วันนี้กับเมื่อ 4 ปีก่อนเรามาไกลมาก ไกลเกินกว่าที่ผมคิดฝันไว้แต่แรก บอกตรงๆ ให้ผมกลับไปทำให้ทีมขึ้นจากดิวิชัน 2 มาถึงจุดนี้
โดย...โยธิน อยู่จงดี ภาพไม่มีเครดิต
“ทีมราชบุรี มิตรผล วันนี้กับเมื่อ 4 ปีก่อนเรามาไกลมาก ไกลเกินกว่าที่ผมคิดฝันไว้แต่แรก บอกตรงๆ ให้ผมกลับไปทำให้ทีมขึ้นจากดิวิชัน 2 มาถึงจุดนี้ อีกผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะทำได้อีกหรือเปล่า เพราะการคุมทีมฟุตบอลมีหลายอย่างประกอบกันเป็นความสำเร็จ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของใจ” ธนวัชร์ นิติกาญจนา ผู้จัดการทีม “ราชันมังกร” ราชบุรี มิตรผล เอฟซี เล่าเส้นทางความสำเร็จในการเป็นผู้จัดทีมสโมสรฟุตบอลที่มาแรงที่สุดทีมหนึ่งในไทยพรีเมียร์ลีก
ราว 4 ปีก่อนจากสโมสรท้ายตารางดิวิชัน 2 ในชื่อราชบุรี เอฟซี ธนวัชร์ ชายหนุ่มในวัย 25 เพิ่งเรียนจบด้านการบริหารธุรกิจการท่องเที่ยว จากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้เข้ามากุมบังเหียนท่ามกลางความเคลือบแคลงและสงสัยในความสามารถของเขา แต่ธนวัชร์ก็เลือกที่เดินหน้าพิสูจน์ความสามารถ ด้วยเป้าหมายที่จะทำให้ทีมบ้านเกิดกลายเป็นทีมฟุตบอลระดับอาชีพอย่างแท้จริง และต้องยืนได้ด้วยตัวเองเช่นเดียวกับสโมสรฟุตบอลทีมอื่นๆ ในไทยพรีเมียร์ลีก
4 ปี จากดิวิชัน 2 สู่ลีกสูงสุดของประเทศ
ธนวัชร์ เล่าถึงเส้นทางการคุมทีมฟุตบอลของเขาว่า ความจริงแล้วผมไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ หรือเรียนรู้ด้านการบริหารทีมฟุตบอลมาก่อนก็เป็นแค่คนที่ชอบเล่นฟุตบอลและเรียนรู้กีฬาฟุตบอลคนหนึ่ง เป็นคนที่ชอบเรียนด้านการบริหาร มีการวางแผน การวางแท็กติกในการทำธุรกิจ เรียนรู้เรื่องการใช้คนผมเรียนแล้วผมชอบที่จะเอาประยุกต์ในการทำทีมของผมได้
จนกระทั่งทางทีมเข้ามาขอความช่วยเหลือจากทางครอบครัวให้ช่วยสนับสนุนเงินทุนในการทำทีมเราก็บอกว่าเราอยากช่วยอยากทำ แต่ถ้าทำแล้วให้เงินอย่างเดียวเราไม่ให้ แต่เราให้แล้วเราต้องเข้าไปดูแลให้ทีมของจังหวัดมีการเติบโตไปด้วย เพราะให้เงินแล้วแต่ขาดการบริหารจัดการที่ดีก็เปล่าประโยชน์ การทำต้องทำอย่างมีเป้าหมาย
ปัญหาที่เราเจอตอนแรกก็คือ ความเป็นมืออาชีพ แรกๆ นักเตะในทีมจะเป็นแบบกึ่งอาชีพคือ ทุกคนมีงานประจำแล้วก็มาซ้อมเตะบอลในตอนเย็นๆ การกินการอยู่ไม่เป็นอาชีพเลย มองกลับมาที่ตัวเราตอนนั้นเราอายุ 25 โค้ชอายุ 50 นักฟุตบอลมีตั้งแต่อายุ 1934 ปี ทุกคนส่วนใหญ่อายุมากกว่าเราทั้งนั้นและความรู้ในวงการฟุตบอลเราก็น้อย
เราจึงเข้ามาก็มาแบบไม่มีอีโก้อะไรเลย มาเรียนรู้ทุกอย่าง กินอยู่ซ้อมเล่นกับลูกทีม จนทุกคนเริ่มเปิดใจให้เรา เรารักพวกเขาพวกเขาก็รักเราตอบ
พัฒนาทีม 4 ปี ตั้งแต่มีแฟนบอลในสนามแค่ 300 คน จนตอนนี้สูงสุดหลักหมื่นคนที่มาเชียร์เราในสนาม เงินเดือนนักฟุตบอล 1 หมื่นบาท ตอนนี้นักฟุตบอลเราเงินเดือน 35 แสนบาทก็มีแล้ว เทียบจากแต่ก่อนเงิน 5 แสนบาท คือเงินเดือนของทั้งทีม ประสบความสำเร็จจนได้ขึ้นมาอยู่ไทยพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลล่าสุด ในเวลาแค่ 4 ปีของการทำทีม ซึ่งทีมที่สามารถทำแบบนี้ได้มีแค่ทีมบุรีรัมย์กับทีมเมืองทอง
“ตอนนี้มีเรามีสต๊าฟโค้ชและนักเตะ ผมได้เฮดโค้ชที่เคยทำงานกับทีมบาร์เซโลนา นักกายภาพก็มาจากซานโตส และโค้ชฟิตเนสก็เป็นคนเบลเยียมที่ผ่านการทำงานกับทีมใหญ่ๆ ในยุโรปมาแล้ว ผมว่ามันเป็นความสนุกที่เราได้พัฒนาทุกอย่างในการคุมทีมฟุตบอล ไม่เหมือนกับการคุมทีมที่มีทุกอย่างพร้อมแล้ว” ผู้จัดการทีมหนุ่มไฟแรงบอกกับเราอย่างนั้น
คุมทีมฟุตบอลอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
ธนวัชร์ แนะนำว่าการเป็นผู้จัดการทีมที่ดีเป็นเรื่องของภาวะมากกว่า ฟุตบอลนอกจากแผนการเล่นที่ดีแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ มีแพ้ มีชนะ กำลังใจ ผิดหวัง ท้อแท้ ทุกอย่างอยู่ในเกมการแข่งขัน
“ในระหว่างเกมการแข่งขันแมตช์หนึ่งที่เราเป็นผู้ตาม เฮดโค้ชมาบอกกับผมว่า ช่วยพูดอะไรกับลูกทีมหน่อย เพราะทุกครั้งที่คุณพูดทุกคนจะหยุด มองและฟังคุณ เพราะคุณเป็นผู้นำทีม ทุกคนรักผมเพราะผมรักพวกเขาทุกคน ตอนนั้นผมบอกทุกคนว่าให้ทุกคนมีสมาธิและเล่นตามเกมของเราอย่าไปสนแท็กติกเข้าแรง และการยั่วอารมณ์ของฝ่ายตรงข้าม ทำหน้าที่และเล่นเกมของเราให้ดีที่สุด แรกๆ ผมเองก็ไม่คิดว่าลูกทีมของผมจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดขนาดนี้ จนกระทั่งเกมพลิกกลับให้เราเป็นฝ่ายชนะ” ธนวัชร์ เล่าถึงช่วงเวลสำคัญที่ทำให้เขารู้ว่า ตอนนี้เขาเป็นผู้นำทีมที่ลูกทีมยอมรับและพร้อมทำตามคำสั่ง
นอกจากนี้ ในแต่ละวันของการทำงานในฐานะผู้จัดการทีม ในช่วงเช้า ธนวัชร์ จะมานั่งดูว่าต้องแข่งกับใคร ที่ไหน และเราต้องเดินทางอย่างไร พักที่ไหน สปอนเซอร์เป็นอย่างไร เรื่องการตลาด เว็บ เฟซบุ๊ก และสื่อที่มีทุกอย่าง จะลิงก์เนื้อหาอย่างไรในแมตช์ที่เราจะแข่ง
หลังจากนั้นจะคุยกับโค้ชเพื่อวางแผนการเล่นการซ้อมว่าเราจะซ้อมจะเล่นกันแบบไหนเพื่อจุดประสงค์อะไร ให้ลูกทีมได้รับทราบ หรือมีการติดต่อซื้อขายผู้เล่นที่น่าสนใจ ซึ่งธนวัชร์บอกว่าสไตล์การเลือกผู้เล่นของเขาจะเลือกจากความชอบของตัวเอง โดยเลือกนักเตะจากคุณภาพ ดูแล้วสไตล์การเล่นของเขาเป็นสิ่งที่ขาดในแผนการทำทีม จะมีชื่อเสียงหรือไม่มีก็ได้ แต่ดูแล้วคิดว่าเหมาะก็เลือกร่วมทีม ในระหว่างการเจรจาเราก็มีมาตรฐานมาเลยว่าคุณต้องมีความเป็นมืออาชีพเท่าไร ต้องซ้อมต้องเล่นผ่านเกณฑ์ที่เรากำหนดจะฟอร์มตกไปกว่านี้ไม่ได้
จึงเห็นได้ว่าการเป็นผู้จัดการที่ดีจะต้องเป็นผู้นำที่ต้องทำลูกทีมเชื่อในตัวเรา ไม่เฉพาะนักเตะ ทีมงาน กับแฟนบอลก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเราให้ได้ สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาและเราเองก็ต้องเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน สร้างความสนิทสนม รู้จักขอบเขตของหน้าที่ ไม่ก้าวก่ายกัน ให้ความเชื่อใจกับพวกเขาเต็มร้อย แล้วเราจะได้กลับมาเต็มร้อยเช่นกัน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในเกมการแข่งขัน คือหัวใจนักสู้ ถ้าเขาเล่นให้คุณแค่ 80% นั่นหมายถึง ความพ่ายแพ้ของทีม แม้ว่าคุณจะมีตัวผู้เล่นดีกว่า เพราะในเกมความต่างของใจแค่ 1% ก็ชี้ผลแพ้ชนะแล้ว


