100 ปี หลวงตามหาบัว
ท่ามกลางปัญหาต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นภายในประเทศช่วงนี้ ทำให้ย้อนระลึกถึงกว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา ประมาณช่วงปี 2540
ท่ามกลางปัญหาต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นภายในประเทศช่วงนี้ ทำให้ย้อนระลึกถึงกว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา ประมาณช่วงปี 2540 ที่ประเทศเราเกิดสภาวะวิกฤตทางการเงินครั้งยิ่งใหญ่ เงินบาทลอยค่าสูงขึ้นอย่างแสนจะรวดเร็ว จาก 25 บาท มีค่าเท่ากับ 1 เหรียญสหรัฐ พุ่งเป็น 56 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ
ช่วงนั้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์พาดหัวทุกๆ เช้า ไม่ข่าวฆ่าตัวตายของนักธุรกิจ หรือประชาชนที่ล้มละลาย ก็ข่าวปิดธนาคาร
นอกเหนือจากสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลงแล้ว แม้แต่สภาวะจิตใจของคนในชาติก็แย่ลงตาม สถานการณ์บ้านเมืองในตอนนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าเกือบเข้าสู่ภาวะกลียุคของประเทศไทยก็เป็นได้
ในขณะที่ประเทศชาติกำลังระส่ำระสายอย่างมาก ท่ามกลางผืนป่าผืนสุดท้ายใจกลาง อ.เมือง จ.อุดรธานี ก็ได้มีพระชราภาพอายุปูนเข้าวัย 80 กว่าจะใกล้เข้าสู่ปีที่ 90 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้ซึ่งเคยเป็นพระอุปัฏฐากพระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสี หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อาพาธด้วยโรคมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายอยู่ โดยตัวท่านเองหมายว่าคงจะทิ้งร่างฝากขันธ์อันหนักอึ้งนี้คืนสู่ผืนแผ่นดินแม่ก่อนเข้ากาลพรรษาปี พ.ศ. 2541 เป็นแน่แท้ แต่เมื่อท่านเข้าสู่ที่ภาวนาซึ่งทำเป็นประจำทุกค่ำคืน อันเป็นอริยวัตรอยู่แล้วได้แพร่กระแสแห่งเมตตาคุณแด่มวลสรรพสัตว์ผู้ยังอยู่ในห้วงแห่งวัฏฏะทุกข์ เห็นเป็นนิมิตว่า มีกลุ่มเมฆดำกลุ่มใหญ่ปิดป้องห้อมล้อมประเทศไทยไว้อย่างหนาแน่น แม้จะแผ่กระแสแห่งเมตตาเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถให้กระแสนั้นผ่านทะลุไปได้
ท่านพิจารณาเห็นว่าวิกฤตชาติไทยครั้งนี้แสนใหญ่หลวงนัก “เรายังตายไม่ได้ ต้องอยู่ช่วยชาติไทยให้พ้นวิกฤตครั้งนี้เสียก่อน”
โครงการ “ผ้าป่าช่วยชาติ โดยองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน” จึงเกิดขึ้น
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือในสมณศักดิ์ พระธรรมวิสุทธิมงคล เกิดในตระกูล โลหิตดี เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2456 เป็นชาวบ้านตาดแต่กำเนิด โดยโยมบิดาชื่อ ทองดี โยมมารดาชื่อ แพง
ตอนท่านเกิดนั้น สายรกได้พันตัวออกมาเป็นลักษณะเฉวียงบ่า ตาของท่านจึงได้ทำนายไว้ว่า ถ้าอยู่เป็นฆราวาสจะได้เป็นนายพรานที่มีชื่อ แต่ถ้าบวชเรียนจะได้เป็นจอมปราชญ์
ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งสิ้น 16 คน ในวัยเด็กท่านเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดว่องไวในไหวพริบและปฏิภาณ ดั่งที่คุณแม่จันดี โลหิตดี น้องสาวของท่าน เล่าว่า “ในวัยเด็กท่านชอบร้องกลอนรำให้น้องๆ ฟังเวลาไปเลี้ยงควายเสมอ” ตัวท่านเองไม่ชอบกินอาหารดิบ ซึ่งต่างจากเด็กทั่วไปในภาคอีสานยุคสมัยนั้น ถึงขั้นตาท่านลองท่านโดยการเอาอาหารดิบมาหลอกให้ท่านกิน แล้วท่านก็อาเจียนออกทุกครั้งไป จนตาท่านรู้ว่าท่านไม่กินเป็นแน่
สมัยยังเด็กท่านมักตามญาติผู้ใหญ่ไปวัดทำบุญอยู่เป็นนิจ จนกระทั่งพอรู้ความท่านจึงได้เขาศึกษาตามหลักสูตรภาคบังคับในยุคสมัยนั้นในโรงเรียนบ้านตาดนั่นเอง
จวบกระทั่งอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ โยมบิดาท่านขอร้องให้ท่านเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ส่วนเจ้าตัวเองนั้นก็ไม่อยากที่จะบวช จนกระทั่งในวงกินข้าวโยมแม่ท่านก็ได้ขอร้องอีก ท่านเองก็ยังดึงดันขึงขังว่า เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมบวช กระทั่งทั้งโยมพ่อและโยมแม่ต่างร้องไห้ขอร้อง โยมแม่ได้กล่าวประโยคที่ว่า “บวชให้แม่ได้ไหม ไม่ต้องนานก็ได้ พอเข้าบวชเสร็จแขกกลับก็สึกเสียก็ได้”
ด้วยน้ำตาบุพการีนี้เองทำให้ท่านยอมเข้าสู่พระธรรมวินัย
ท่านจึงตัดสินใจบรรพชาอุปสมบท ในวันที่ 12 พ.ค. 2477 โดยมี พระธรรมเจดีย์(หลวงปู่จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ พัทธสีมา วัดโยธานิมิตร จ.อุดรธานี โดยมีโยมตาเป็นผู้จัดบริขาร
ครั้นพอท่านได้บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ด้วยความเอาจริงเอาจังและความมานะมุ่งมั่น สิ่งใดสงสัยต้องพิสูจน์ให้เห็น สิ่งใดไม่รู้ก็ต้องทำให้แจ้ง บวกกับอุปนิสัยเดิมซึ่งไม่ยอมอะไรง่ายๆ ท่านสงสัยว่า มรรคผลนิพพานที่ครูบาอาจารย์พากเพียรสั่งสอนนั้นมีจริงหรือไม่ จึงมุมานะบากบั่นร่ำเรียน จนได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม 3 ประโยค
ในทางโลกท่านจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทางนักธรรมก็นักธรรมเอกก็ 3 และมหาเปรียญก็เปรียญธรรม 3 ประโยค เป็น 3 3 3
ขณะเรียนนี้เองทำให้ท่านได้เดินทางมาวัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ระหว่างมาเชียงใหม่ครั้งนี้ได้สวนทางกับ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งพระธรรมเจดีย์ได้มานิมนต์กลับเพื่อเจริญสมณธรรม และโปรดลูกศิษย์ลูกหาทางภาคอีสาน ถึงอย่างไรก็ตามท่านก็ได้พบสหธรรมิกที่นี่ ภายหลังได้เป็นกำลังสำคัญในงานผ้าป่าช่วยชาติทางภาคเหนือ นั่นก็คือ หลวงปู่จันทร์ กุสโล หรือ พระพุทธพจนวราภรณ์
เมื่อท่านได้เรียนปริยัติจนเป็นที่พอใจแล้ว ได้เดินทางออกตามหาเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านก็ได้พยายามหมั่นภาวนา มีพุทโธ อยู่ทุกขณะจิต จนจิตใจก้าวหน้าไปเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันนั้นเองท่านก็ได้คอยอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นด้วย กระทั่งหลวงปู่มั่นท่านได้มรณภาพ เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
เมื่อหลวงปู่มั่นมรณภาพแล้ว ท่านเองก็ได้ออกหาที่ภาวนาเพื่อเสริมสร้างกำลังทางจิตใจ จนกระทั่งในวันแรม 14 ค่ำ ตรงกับวันที่ 15 พ.ค. 2493 วันนั้นท้องฟ้าปลอดโปร่งเต็มไปด้วยแสงดาวของคืนต้นฤดูฝนในคืนเดือนมืด ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ นั่นเอง แสงแห่งธรรมภายในใจก็สว่างไสว โชติช่วงประหนึ่งดวงอาทิตย์ที่สาดแสงในเวลากลางวันแต่อบอุ่นภายในหัวใจดวงน้อย ประหนึ่งพระจันทร์ยามทรงกลดเต็มดวงในยามค่ำคืน
น้ำตาแห่งปีติสุขในธรรมของพระพุทธเจ้าได้ไหลหลั่งออกมานองหน้า ไหลแล้วไหลเล่า ความนอบน้อมในธรรมทำให้ระลึกถึงคำสอนของพระศาสดา ทำให้องค์ท่านนั่งกระหย่งตัวคุกเข่า กราบแล้วกราบเหล่าในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนนั้นตลอดทั้งคืน พลางท่านรำพึงในใจว่า โอ้ธรรมแท้ เป็นเช่นนี้หนอ จวบจนรุ่งเช้า ท่านได้ไปพบพระภิกษุหนุ่มที่ติดตามท่านมาด้วย นั่นก็คือ หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต ท่านได้กล่าวกับหลวงปู่บุญเพ็งถึงธรรมอัศจรรย์ที่องค์ท่านได้พบได้เห็น ได้ประจักษ์แก่ใจของท่านในเมื่อคืนนั้นเอง
ครั้นเสร็จงานถวายเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านก็ได้ไปโปรดลูกศิษย์ลูกหายังสถานที่ต่างๆ อาทิ บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร เป็นต้น จนกระทั่งโยมมารดาของท่าน หรือคุณย่าชีแพง โลหิตดี เกิดอาการป่วยโดยโรคอัมพาต ท่านได้เห็นสมควรที่จะพาโยมมารดากลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด คือ จ.อุดรธานี นั่นเอง ครั้นถึง จ.อุดรธานี แล้ว ท่านได้พิจารณาหาพื้นที่สงบเพื่อเจริญสมณธรรมและโปรดพี่น้องชาวบ้านตาด โดยได้ขอซื้อทุ่งนาแปลงหนึ่งของลุงของท่าน แต่ลุงท่านนั้นได้ยกนาแปลงนั้นถวาย
ท่านได้สร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้นมาในปี พ.ศ. 2498 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2513 ในชื่อทางการว่าวัดเกษรศีลคุณ
หลังจากที่ได้สร้างวัดป่าบ้านตาด และวางรากฐานจนเป็นที่วางใจได้แล้ว ก็ได้ออกสงเคราะห์ลูกศิษย์ลูกหา อะไรที่เขามาถวายท่านก็ขนออก ท่านไม่เคยสะสม ข้าวของเงินทอง แต่ในครั้งนั้นทำแต่เงียบๆ เป็นการภายใน รู้กันอยู่แค่ในวงแคบเฉพาะลูกศิษย์ลูกหาเท่านั้น ท่านเป็นเหมือนพ่อแม่ที่มีความเป็นห่วงต่อลูก อาทิ ครั้งหนึ่งนายอำเภอหนุ่มจบใหม่มารับราชการทางภาคอีสาน ก่อนไปรับตำแหน่งก็ได้เดินทางไปฝากตัวกับหลวงตา จากนั้นก็เข้ารับตำแหน่งหน้าที่ที่อำเภอของตัวเองได้รับผิดชอบ
หลังจากได้เข้าทำงานไม่นาน เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดฝันก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ในอำเภอขนาดหนัก ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ข้าวของเสียหายมหาศาล นายอำเภอหนุ่มก็กังวลใจด้วยเหตุที่ข้าวสารไม่พอที่จะเลี้ยงผู้ประสบภัย ขณะที่นายอำเภอได้ไปตรวจเยี่ยมชาวบ้านนั้นเอง ที่ว่าการอำเภอก็มีพระภิกษุชราถือย่ามน้อยๆ ในย่ามมีแค่หมากไม่กี่คำ เดินขึ้นมาบนอำเภอ แล้วถามหานายอำเภอ ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักท่าน เสมียนได้รายงานนายอำเภอ พอบอกลักษณะท่าทางก็รู้ทันทีว่า คือองค์หลวงตาเป็นแน่นอน
อีกวันจึงไปพบหลวงตา ท่านได้ถามไถ่เหตุการณ์ แล้วก็เปรยว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้เขาขนข้าวสารจากวัดป่าบ้านตาดมาให้สักสิบล้อหนึ่งน่าจะพอไหม คำพูดนี้ประหนึ่งน้ำฝนใสเย็นชอุ่มสาดรดลงบนหัวใจของนายอำเภอหนุ่มทันใด
ความเมตตาขององค์ท่านได้หยาดลงมาถึงชาวบ้านมิได้ขาดหาย แม้กระทั่งเวลาตำรวจตั้งด่านตรวจ ท่านก็จะสั่งให้หยุดรถ แล้วเอาเงินแจกกับตำรวจเหล่านั้นแล้วท่านก็กำชับว่า อย่าไปโกงกินรีดไถชาวบ้านล่ะ
ปลายปี พ.ศ. 2540 ขณะหลวงตามีอายุ 85 ปี เกิดอาพาธมีอาการปวดท้องอย่างหนัก หมอได้ทำการตรวจพบว่า ท่านมีอาการของมะเร็งลำไส้ในระยะสุดท้าย องค์ท่านเองได้ตั้งข้อสังเกตกับหลวงปู่เจ้าคุณปานว่า น่าจะเกิดจากการเร่งความเพียรในระยะแรกๆ ที่อดอาหารหลายวัน จนมันเรื้อรังเข้าๆ จนกลายเป็นมะเร็ง แต่ท่านไม่รู้สึกกลัวกับมรณภัยที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ท่านสั่งให้สร้างเมรุรอเผาตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันประเทศในตอนนั้นก็ประสบปัญหาอย่างหนักในด้านเศรษฐกิจ ถึงขั้นชาติแทบล้มละลายก็ว่าได้ ท่านได้พิจารณาแล้วว่า ท่านจะต้องช่วยเหลือประเทศชาติเสียก่อนถึงจะยอมตาย ปรากฏว่าอาการมะเร็งที่คาดว่าจะเอาชีวิตท่านนั้นได้หายขาดลงด้วยหมอชาวจีน
วันที่ 10 ม.ค. 2541 มีลูกศิษย์ท่านคนหนึ่งได้นำเงินเหรียญสหรัฐมาถวาย จากนั้นก็มีคนนำเงินเหรียญสหรัฐมาถวายอีกที่ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด เป็นเงิน 2,500 เหรียญสหรัฐ ท่านจึงได้ปรารภขึ้นมาว่า “เราได้นกต่อแล้ว” จากนั้นได้จัดผ้าป่าช่วยชาติขึ้น โดยท่านได้ปรารภในงานบุญกระทายข้าวเปลือก และได้เปิดโครงการอย่างเป็นทางการในเดือน เม.ย.ปีนั้นเอง
โครงการช่วยชาติโดยหลวงตามหาบัวดำเนินมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เริ่มเปิดโครงการในปี พ.ศ. 25412553
ในวัยชราท่านออกเทศนาสอนโยม ดังที่ได้เคยเทศน์ไว้เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 25541 ว่า “...หลวงตาบัวออกขายตัว ขอบิณฑบาตทั่วประเทศไทย...เราไม่เคยเลยนะนี่ได้ออกขายตัวแล้ว ขอบิณฑบาตทั่วประเทศไทย เงินเพื่อชาติเรา”


