คุณแม่จันดี โลหิตดี
เมื่อไม่กี่วันมานี้ สื่อมวลชนรายงานข่าวว่า เวลา 01.03 น. วันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา คุณแม่จันดี โลหิตดี น้องสาวองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ละสังขารแล้วด้วยอาการสงบ
เมื่อไม่กี่วันมานี้ สื่อมวลชนรายงานข่าวว่า เวลา 01.03 น. วันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา คุณแม่จันดี โลหิตดี น้องสาวองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ละสังขารแล้วด้วยอาการสงบ ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ด้วยวัย 82 ปี 11 เดือน 2 วัน หลังจากนั้นก็มีข่าวว่า พระมหาเถระหลายรูปได้พากันไปรดน้ำศพท่าน โดยมี หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เป็นประธาน และจะมีพิธีประชุมเพลิงสรีระสังขารท่านในวันอาทิตย์ที่ 18 ส.ค.นี้
หากคุณแม่จันดีเป็นเพียงแต่น้องสาวของหลวงตามหาบัวก็คงไม่มีนัยอะไรที่คณะสงฆ์หรือสาธุชนจะให้ความสำคัญกับกาลมรณกรรมของท่านจนสื่อมวลชนต้องเอามารายงาน เพราะหลวงตามหาบัวท่านมีพี่น้องร่วมสายโลหิตถึง 16 คน บ้างเสียชีวิตแต่แต่เยาว์วัย บ้างก็เสียชีวิตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา บ้างก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังดูได้จากสาแหรกซึ่งมีการลำดับไว้ดังนี้
1.คุณตาคำไพ โลหิตดี ถึงแก่กรรม ปี 2505
2.หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ละสังขารเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2554
3.คุณหม ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย
4.คุณยายอั้ว โลหิตดี ถึงแก่กรรม ปี 2523
5.คุณสัว ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย
6.คุณยายคำตัน โลหิตดี ถึงแก่กรรม ปี 2554
7.คุณขาม ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย
8.คุณลัง ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย
9.คุณแข้ง ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย
10.คุณตาจัด โลหิตดี ถึงแก่กรรม ปี 2525
11.คุณตาหนูพูล โลหิตดี ถึงแก่กรรม ปี 2539
12.คุณยายสวน โลหิตดี อายุ 88 ปี
13.คุณยายศรีเพ็ญ โลหิตดี อายุ 86 ปี
14.คุณแม่จันดี โลหิตดี ละสังขารเมื่อวันพฤหัสบดีที่15 ส.ค. 2556
15.คุณกล่ำ ถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัย
16.คุณแม่เถิง โลหิตดี ถึงแก่กรรม ปี 2543
เหตุที่การมรณกรรมของคุณแม่จันดีส่งผลกระเทือนไปในหมู่สาธุชน เพราะท่านเป็นพุทธศาสนิกชนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเชื่อกันว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่หักวัฏสงสารได้แล้ว เฉกเช่นเดียวกับที่พระพี่ชายได้พาดำเนินไป
ประวัติและปฏิปทาคุณแม่จันดี โลหิตดี มีเผยแผ่อยู่ตามเว็บไซต์และเฟซบุ๊กที่ศิษยานุศิษย์ของท่านได้จัดทำขึ้น
ข้อมูลที่ปรากฏระบุว่า คุณแม่จันดี กำเนิดเมื่อวันพุธที่ 12 ก.ย. 2487 ณ หมู่บ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี โยมบิดานาม นายทองดี โยมมารดาคือ นางแพง โลหิตดี
แม้ในสุกลของท่านจะให้กำเนิดพระมหาเถระซึ่งยกแผ่นดินไทยขึ้นได้ มีบุญบารมีมากเป็นที่ทราบกันทั่วประเทศ แต่คุณแม่จันดีก็เป็นเพียงผู้เดียวที่สละเรือนออกปฏิบัติธรรม ถือศีลภาวนา ณ วัดป่าบ้านตาด ตามพระพี่ชาย
หลวงตามหาบัวได้เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เขามีของเก่าของเขา เขามีของเก่ามา”
ของเก่านั้นคืออะไร?
ในประวัติของท่านที่มีการเผยแผ่กันนั้น ระบุถึงคำบอกเล่าของท่านเองว่า “...ตอนเป็นเด็กเรียนอยู่ชั้นประถม จะมีความรู้แปลกๆ อยู่กลางอก ก่อนจะบ่งบอกอะไร ตรงกลางอกจะมีเหมือนพัดลมน้อย (หมุนติ้วๆ) แล้วส่งความรู้ออกมาเช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง สมัยนั้นเดือน ม.ค. ครูจะพาอ่าน‘มกกะราคม’ ขณะครูกำลังอ่าน พัดลมน้อยก็หมุนขึ้นในจิต แล้วมีเสียงดังขึ้นบอกว่า ‘จะอ่านให้ถูกต้อง! ต้องอ่านว่า มะกะราคม’ เป็นอะไรที่แปลกสำหรับเด็ก เคยคิดว่าคนอื่นคงเป็นเหมือนกัน จึงค่อยเรียบเคียงถามมารดาว่า ‘เป็นเหมือนกันไหม’ มารดาตอบ ‘ไม่เคยเป็น’ แล้วถามต่อว่า ‘เป็นหมุนอยู่ตรงไหน’ จึงชี้ที่กลางอก”
ความรู้แปลกๆ อยู่กลางอกนี้ปรากฏขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และทุกครั้งที่ปรากฏขึ้น ท่านว่า มันมีอำนาจมาก คิดจะฝืนก็ฝืนไม่ได้
ครั้งเป็นเด็กนั้นมีหนหนึ่ง เห็นแม่ค้าหาบตะกร้ามาเร่ขาย ในกระจาดนั้นล้วนแต่มีของล่อใจเด็กสาวทั้งนั้น คือมีทั้งเครื่องประดับ กำไลหลากสี พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นผู้หญิงเห็นแล้วร้องระงมอยากจะได้ จนโยมมารดาต้องรับปากว่า จะซื้อให้คนละชิ้น ขณะที่ท่านตามพี่ๆ ซึ่งกรูกันเข้าไปเลือกของที่อยากได้ ทันทีที่จะหยิบเครื่องประดับขึ้นมา ก็เกิดพัดลมน้อยกลางอกหมุนติ้วๆ บอกขึ้นว่า “ของประดับโลก ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์”
ทันทีที่มีเสียงขึ้นเช่นนั้น ท่านก็ผินหน้าหนีกระจาดนั้นทันที โยมมารดาแพงแปลกใจที่เห็นอาการลูกคนนี้ ถึงกับร้องถามขึ้นว่า พอเสียงดังจบลง ท่านเดินหนีทันที “อ้าว...มึงอยากได้ทำไมไม่เอา”
หลายหนเกิดขึ้นในขณะนั่งเรียนหนังสือ เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะขอครูกลับบ้านก่อนเวลาเพราะจำบทเรียนที่ครูสอนได้หมดแล้ว พอครูซักว่า “เธอมีธุระอะไรที่บ้าน” ท่านก็ตอบครูไปว่า “เข้าใจ จำได้หมดแล้ว ไม่อยากเรียนบทเรียนเก่าอีก”
เพราะเหตุนี้ ครูจึงขอให้ท่านช่วยสอนเพราะครูสอนอยู่หลายชั้น กระทั่งเรียนถึงชั้น ป.4 ครูก็มาขอให้ พ่อแม่พี่ชาย สนับสนุนให้เรียนต่อ แต่ตัวท่านเองขอไม่เรียนต่อเพราะ “กลางอกหมุนแล้วบอกว่า ‘เรียนไปก็ไม่จบ เรื่องของโลก! เรียนเท่าไหร่ไม่มีวันจบ’ เป็นอะไรที่ฝืนไม่ได้จริงๆ”
คำว่า “เขามีของเก่าของเขา เขามีของเก่ามา” นั้นแจ่มชัดขึ้นเมื่อวันหนึ่งโยมมารดาแพงไปเล่าให้พระลูกชายคือหลวงตามหาบัว ซึ่งธุดงค์มาโปรดโยมมาดาฟังว่า น้องสาวคือแม่จันดีซึ่งตามแม่มาถวายจังหัน ได้ฟังคำสอนที่พระลูกชายเทศน์โปรดโยมมารดาถึงวิธีการปฏิบัติภาวนาเมื่อวันก่อนโน้นแล้วจำไปทำที่บ้าน ปรากฏว่าในคืนนั้นเอง แม่จันดีนั่งภาวนาไม่ถึง 3 นาที จิตของแม่จันดีก็รวมลง เห็นร่างกายเน่าเปื่อยสลายกลายเป็นดิน จิตของน้องสงบจนถึงสว่าง
โยมมารดาเล่าละเอียดถึงขนาดว่า ตอนสงบอยู่ จิตน้องจันดีก็คำนึงอยู่ว่าทำยังไง ถ้าจิตไม่ถอนจะทำยังไง ถ้าถึงเวลาตำข้าวจะทำยังไง แต่เหมือนจิตจะรู้ พอถึงเวลาตำข้าวจิตก็ถอนออกพอดี
พระลูกชายฟังโยมมารดาแล้วจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เขามีของเก่าของเขา เขามีของเก่ามา”
แม้จะมีของเก่ามาถึงเพียงนั้น แต่ชีวิตของคุณแม่จันดีก็ไม่ได้ตัดตรงไปยังเพศพรหมจรรย์เลยในทันที เพราะเมื่อโตเป็นสาวแล้วไปขอแม่บวชชี โยมมารดาได้ท้วงติงว่า “ลูกเป็นผู้หญิง จะบวชยังไง ไม่ใช่ผู้ชาย ตามธรรมดาผู้หญิงเขาไม่บวชหรอก ไม่เคยเห็น ให้หยุดคิดนะ”
ตอนนั้นจิตของท่านบอกว่า “จะเรียนรู้เรื่องของโลกให้หมด”
ท่านแต่งงานครองเรือนกับผู้ที่พี่ชายเลือกแล้วว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ระหว่างนั้นก็ถือศีล 5 อย่างเคร่งครัดและถือศีล 8 ในวันพระ
คำว่าเคร่งครัดนั้น ก็เกิดจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจตั้งแต่เด็กว่า “กินอะไรก็ได้ ใจสงสาร ไม่สามารถทำลายชีวิตผู้อื่นได้” พี่ชายท่านเคยเคี่ยวเข็ญให้ฆ่าสัตว์ท่านก็จะร้องไห้ ขอร้องว่า ไม่ยอมกินข้าวก็ได้ ขออย่าให้ฆ่าสัตว์เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้พี่น้องจึงบอกว่า “จันดีไม่เคยฆ่าสัตว์ ไม่ต้องให้มันกินเนื้อสัตว์ด้วย”
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้กินแต่ผัก กินหน่อไม้เป็นอาหารแม้ทำกับข้าวใส่บาตรพระก็ใช้แต่ผัก ใช้แต่หน่อไม้ประกอบเป็นภัตตาหาร ไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตประกอบอาหารทำบุญใส่บาตรเลย
ท่านครองเรือนโดยมีบุตรชาย 1 คน บุตรี 3 คน แต่ตลอดระยะเวลานั้นมิได้ทิ้งการปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย และสามีก็ได้สนับสนุนการปฏิบัติธรรมของท่านเป็นอย่างดี การครองเรือนมิได้เป็นอุปสรรคของการปฏิบัติธรรมแม้แต่นิด เพราะได้พูดคุยทำความเข้าใจกับสามีเป็นอย่างดีแล้วว่า ถ้าจิตรวมอย่าเรียก อย่ากวน จะทำอะไรก็ทำไป
บางคราวจิตรวมลง แต่ลูกน้อยร้องไห้จ้า สามีก็เข้ามาเอาลูกไปดูแล
บางหนจิตรวมขณะเกี่ยวข้าวอยู่ ท่านก็เกี่ยวข้าวไปเรื่อยจนจิตถอน
ท่านจะหาเวลาปลีกตัวภาวนาได้ทุกขณะ ทางจงกรมที่ทำไว้ที่บ้านนั้น เดินจนสึกเป็นร่องลึกเรียบมันเป็นทาง มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ แม่ชีอรหันต์ไปเยี่ยมคุณแม่จันดีแล้วเห็นทางจงกรม ท่านถึงกับพูดขึ้นว่า “จันดีเจ้าอยู่ไหน ก็มีเครื่องหมายของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกที่ มิน่าข้าวของเจ้าถึงได้มากกว่าผู้อื่น”
ปี พ.ศ. 2524 ท่านตัดสินใจสละเรือนออกปฏิบัติธรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยบวชเป็นแม่ชีถือศีลภาวนาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด
การตัดสินใจนั้นเกิดขึ้นหลังจากวันหนึ่ง หลวงตามหาบัวไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน แล้วพระพี่ชายเอ่ยปากถามน้องสาวว่า “ภาวนาเป็นยังไง”
คุณแม่จันดีจึงกราบเรียนท่านว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”
พระพี่ชายจึงเอ่ยขึ้นว่า “เอ้า คิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูกก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”
เมื่อพระพี่ชายกลับไปแล้ว ท่านมาพิจารณาคำพูดจากันแล้วก็สรุปกับตัวเองได้ว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไรอาลัยอะไร”
ณ กระท่อมน้อยกลางไม้ใหญ่วัดป่าบ้านตาดนั้นเอง ท่านดำเนินชีวิตใหม่โดยมีศีลและธรรมะเป็นที่พึ่ง
วิถีแห่งการรักษาศีลนั้น เป็นไปดังนี้...“บวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”
เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น
ให้น้อมใจไปที่กาย ดูกาย ดูจิต คือ ที่เดียวกัน เพราะผู้ดู คือ ผู้รู้ ผู้เดียวกัน ผู้ฉลาดเรียนรู้จากกายจิต ผู้อยากรู้ผิด เรียนภายนอก ธรรมคือประโยชน์ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ธรรม
ไม่เพียงแต่มีหลวงตามหาบัวคอยชี้แนะในการปฏิบัติ คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เป็นอีกท่านหนึ่งที่ช่วยดูแลท่านเป็นอย่างดีในเรื่องนี้


