แรงบันดาลและความสำเร็จ นพพร วงศ์อนันต์
ก่อนจะมีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ เราเคยฟังเรื่องราวของเขาจากนักข่าว ซึ่งเคยรู้จักหรือร่วมงานกับ “นพพร วงศ์อนันต์”
โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง ภาพ พงษ์ไทย วัฒนาวณิชย์วุฒิ
ก่อนจะมีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ เราเคยฟังเรื่องราวของเขาจากนักข่าว ซึ่งเคยรู้จักหรือร่วมงานกับ “นพพร วงศ์อนันต์” ทุกครั้งเราได้ยินคำชมจากเพื่อนร่วมอาชีพถึงเขาในฐานะนักข่าวผู้โดดเด่นและมีผลงานเป็นที่ยอมรับ
นพพร วงศ์อนันต์ โลดแล่นในแวดวงข่าวมานานกว่า 2 ทศวรรษ เขาเคยทำงานข่าวเศรษฐกิจ การเงิน และการเมืองให้กับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ดิ เอเชียน วอลสตรีท เจอร์นัล รวมทั้งสำนักข่าวรอยเตอร์สทั้งที่กรุงเทพฯ และสิงคโปร์
แต่วันนี้เราได้พบและพูดคุยกับเขาในฐานะบรรณาธิการบริหารนิตยสารฟอร์บส์ ประเทศไทย หรือ Forbes Thailand นิตยสารหัวนอกฉบับใหม่ของเครือโพสต์ พับลิชชิง กับสโลแกน “แรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” ซึ่งฉบับปฐมฤกษ์ได้ออกวางขาย เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ศิษย์เก่าเทพศิรินทร์และคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวแห่งภาควิชาหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ ในรุ่นเจซี 30) นพพร ช่วงวัยรุ่นมีความใฝ่รู้ในเรื่องข่าวสารบ้านเมือง และทำได้ดีในวิชาภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก เขานำความรู้ความสามารถทางด้านภาษาที่สั่งสมมาตั้งแต่ตอนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเอเอฟเอส ที่ออสเตรเลีย รวมทั้งการเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาโทในมหาวิทยาลัย บวกกับวิชาหนังสือพิมพ์ที่ได้ร่ำเรียนมาเป็นใบเบิกทางสู่วิชาชีพสื่อมวลชน
ตลอด 20 กว่าปีในอาชีพนี้ นพพร ได้พบหลากหลายเรื่องราวทั้งที่อยากจำและลืม
“ประสบการณ์ที่จำได้ดีคือ ตอนนั้นอยู่ที่ เอเชียน วอลสตรีท เจอร์นัล เราเขียนถึงรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่าทุจริตและถูกตรวจสอบทรัพย์สิน โดยหลักการของสื่อต่างชาติก็คือ ต้องให้โอกาสคนที่ตกเป็นข่าวได้ชี้แจง เราก็ไปถามซึ่งก็สร้างความไม่พอใจให้กับเขา พอเราถามเขาก็ไม่ตอบ แต่ก็เดินกลับมากระซิบกับเราว่า มีปัญหาอะไรกับเขา ทำไมจงเกลียดจงชังจงใจที่จะถามคำถามแบบนี้
ความจริงคือ เราทำหน้าที่ ให้โอกาสเขาได้ชี้แจง ถ้าเขาไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ตอนนั้นก็หวั่นไหวนิดๆ เพราะหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นคนที่มีข่าวลือว่า เคยทำร้ายนักข่าวรวมอยู่ด้วย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ประมาณปี 2551 ตอนอยู่สิงคโปร์ ผมมีโอกาสได้คุยกับคุณทักษิณ ชินวัตร ได้เบอร์มาก็โทรไปคุยอยู่ 23 ครั้ง ก็ได้มาเป็นข่าวให้รอยเตอร์ส ซึ่งสื่อไทยก็เอาไปใช้ต่อก็กลายมาเป็นเราข่าวใหญ่โตพอสมควรช่วงนั้น”
ระหว่างทางของชีวิต นพพร เคยบอกลาอาชีพสื่อไปลองทำอย่างอื่นดูบ้าง (รวมถึงหยุดไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาอยู่ช่วงหนึ่ง) แต่ที่สุดก็ทนความเย้ายวนเดิมๆ ไม่ได้ต้องกลับมาใหม่
“หลังจากทำงานรอยเตอร์สที่สิงคโปร์อยู่ 2 ปี ก็รู้สึกไม่สนุกเลยออกมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สื่อสารองค์กรขององค์กรเด็กระหว่างประเทศชื่อ แพลน อินเตอร์เนชั่นแนล ทำอยู่ 2 ปี ก็เริ่มไม่สนุกอีก เพราะว่าคนข่าวจะชอบงานที่เร็วและตื่นเต้นตลอดเวลา คนส่วนมากถ้ามีเหตุรุนแรงหรือความวุ่นวายจะหนีออกมา แต่ว่านักข่าวจะต้องไปอยู่ข้างหน้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์
ผมเองก็รู้สึกประมาณนั้น ยังรู้สึกสนุกกับงานข่าวอยู่ การไปทำงานด้านสื่อสารองค์กรชีวิตสบายขึ้น แต่ว่าไม่ตื่นเต้น การที่เราเคยอยู่ในสำนักข่าวต่างประเทศอย่างรอยเตอร์ส ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่เปิด 24 ชั่วโมง ทำให้เราถูกหล่อหลอมให้กระตือรือร้นกับข่าวตลอดเวลา พอไปทำงานด้านสื่อสารองค์กรก็จะไม่ตื่นเต้น แต่ก็สอนเรารู้กระบวนการคิดอีกแบบหนึ่ง พออยากกลับมาทำข่าวใหม่ทางโพสต์ก็มาชวน” นั่นจึงทำให้เขาได้เริ่มต้นงานสื่ออีกครั้งกับฟอร์บส์ประเทศไทย
ฟอร์บส์เป็นนิตยสารธุรกิจสัญชาติอเมริกัน โดยมีฟอร์บส์ อินช์ เป็นเจ้าของและให้ลิขสิทธิ์ 30 ประเทศทั่วโลก เพื่อนำไปทำฉบับท้องถิ่นในตำแหน่งบรรณาธิการบริหารฉบับภาษาไทยของนิตยสารหัวนอก ซึ่งมีชื่อเสียงมายาวนานเกือบร้อยปี นพพร มีหน้าที่ ความรับผิดชอบ และความกดดันในการทำงานอยู่ไม่น้อย
“โดยหน้าที่ก็ต้องดูแลทุกอย่างเลือกเรื่องต่างประเทศมาแปล การที่เราได้เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ฟอร์บส์ ประเทศไทย ก็ทำให้เรามีสิทธิเข้าถึงฐานข้อมูลของฟอร์บส์ทั้วโลก เพื่อเลือกเรื่องที่จะมาแปลและนำเสนอให้กับผู้อ่าน นอกจากนี้ เรายังต้องคิดเรื่องในประเทศที่น่าสนใจ ต้องบริหารคน ดูแลนักข่าว ประสานงานกับโฆษณา ประสานงานกับผู้บริหาร ฟอร์บส์เป็นหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก การได้หัวนี้มาก็ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจขององค์กร จึงอยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิดพอสมควรของผู้บริหาร ความท้าทายในการทำหน้าที่นี้มี 2 เรื่อง คือ บริหารความคาดหวังของทุกฝ่ายให้ลงตัว ให้ทุกคนรู้สึกว่า วินวิน อีกข้อคือ ทำยังไงให้หนังสือติดตลาด”
กลุ่มเป้าหมายของฟอร์บส์ ประเทศไทย คือ ผู้ที่มีรายได้ 1 แสนบาทต่อเดือนขึ้นไป หรือผู้บริหารระดับสูงขององค์กร เช่น ซีอีโอ ซีเอฟโอ หรือซีโอโอ
“เบื้องต้นต้องทำหนังสือให้ติดตลาดก่อน เราก็ทำโดยพยายามนำเสนอสิ่งที่คิดว่าดีให้กับผู้อ่าน เราเชื่อว่าเรื่องราวของผู้ที่ประสบความสำเร็จ นักสู้ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจให้กับผู้อ่าน”
นพพรและทีมทำงานตามคำขวัญของฟอร์บส์ ประเทศไทย ก็คือ เป็นแรงบันดาลของผู้ที่ใฝ่ความสำเร็จ “จุดเด่นของฟอร์บส์อยู่ที่ความน่าสนใจของคนที่เขาเลือกมานำเสนอ ถ้าอ่านนิตยสารฟอร์บส์ฉบับภาษาอังกฤษจะพบว่า เรื่องที่เขานำเสนอส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคน แล้วเอาคนไปโยงกับบริษัท ไปโยงกับธุรกิจ สำหรับฟอร์บส์ ประเทศไทย เราต้องการจะนำเสนอเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ คนสู้ชีวิต สู้กับอุปสรรคต่างๆ จนประสบความสำเร็จและมั่งคั่งร่ำรวยมานำเสนอให้กับผู้อ่านชาวไทย ผู้ซึ่งมีใจนักสู้และปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ ได้ศึกษาเป็นบทเรียนเป็นแบบอย่าง
เราอยากให้เนื้อหามีความหลากหลาย โดยเนื้อหาครึ่งหนึ่งมาจากต่างประเทศและอีกครึ่งหนึ่งจากในประเทศ ต่างประเทศเราให้น้ำหนักไปที่ภูมิภาคและประเภทธุรกิจด้วย เราอาจจะเน้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เยอะหน่อย แล้วก็มีเรื่องจากยุโรปอเมริกาด้วย เนื้อหาก็สลับกันไป เช่น เรื่องผู้หญิงที่น่าสนใจ เทคโนโลยีที่น่าสนใจ เรื่องของคนสู้ชีวิต
ในเล่มแรกเราเลือกเรื่องของนักธุรกิจจากอเมริกา ที่เกือบจะล้มเหลวในชีวิตมาครั้งหนึ่ง ระหว่างไปพักผ่อนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วเขาก็จุดประกายความคิดเกี่ยวกับเรื่องกล้องถ่ายผาดโผน ในขณะที่ตัวเองกำลังเล่นกระดานโต้คลื่นอยู่ จนกระทั่งปัจจุบันเขากลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านของสหรัฐอเมริกาไปแล้ว เพราะกล้องโกโปร (GoPro) คนที่เล่นกิจกรรมผาดโผนจะรู้จักกล้องนี้ดี
เรื่องจากยุโรปเราก็เลือกนำเสนอเรื่องราวของคนอิตาเลียน เจ้าของยีนส์ยี่ห้อดังดีเซล (Diesel) เขาสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมายังไง ทำยังไงถึงได้ประสบความสำเร็จ ส่วนเรื่องในประเทศเราก็แบ่งชนิดของเรื่องออกเป็นช่วงอายุ แล้วก็มีเรื่องของผู้หญิงเก่ง นักธุรกิจในภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จ คนที่สู้ชีวิตหลากหลาย เรายังมีวาทะคำคมของมหาเศรษฐีชื่อดังหรือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาปิดท้าย มีบทความจากต่างประเทศและบทความจากผู้นำ นักธุรกิจ นักการเมือง หรือผู้อาวุโสที่มีความรู้ความสามารถอย่างเล่มแรกเราก็มี ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ มาเขียนให้ เล่มที่ 2 ก็ได้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล มาเขียนให้
อีกเรื่องหนึ่งที่ฟอร์บส์โดดเด่นมากคือ การจัดอันดับทุกชนิด ไม่ว่าจะทรัพย์สินของผู้คน จัดอันดับนักกีฬาชื่อดังที่มีรายได้สูงสุด นักร้องนักดนตรีทีมกีฬาต่างๆ เราจะนำเสนอเรื่องเหล่านี้ เชื่อว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ เพื่อให้คนไทยได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกของเราบ้าง ในอนาคตเราก็อยากที่จะนำเสนอเรื่องราวข่าวเจาะ รายงานเชิงลึกสืบสวนสอบสวน เปิดเผยเรื่องราวที่คนไม่รู้หรือรู้แล้ว แต่ไม่ได้นำเรื่องทั้งหมดมารวมเป็นบริบทที่น่าสนใจ เรื่องจะกระจายไปหลากหลายกลุ่ม แต่เราก็ยังยืนยันที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คน ผู้ประกอบการ หรือ Entrepreneur ทั้งหลายให้สร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ”
ฟอร์บส์ไทยแลนด์ ออกวางแผงในช่วงที่หลายคนเชื่อว่าเป็นขาลงของสื่อสิ่งพิมพ์ แต่นพพรกลับมองเห็นอนาคตที่ดีของนิตยสาร ซึ่งเขากุมบังเหียนอยู่
“ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ ตอนนี้ยอดตกและการซื้อน้อยลงจริง เพราะคนไปอ่านข่าวในช่องทางฟรีอื่นๆ มากขึ้น เช่น อินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ หรือทวิตเตอร์ รวมทั้งฟังวิทยุหรือดูทีวีมากขึ้น แต่ว่าแม็กกาซีนยังมีชีวิต ยังไปได้อีกพอสมควร เพราะว่าอย่างในเครือโพสต์เอง ก็มีหลายเล่มที่ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
ปีนี้โพสต์ก็จะเปิดนิตยสารหัวใหม่ๆ อีกหลายเล่ม นั่นมันแสดงให้เห็นว่า ยังมีตลาดของแม็กกาซีนที่จะไปได้อีก ยังมีโฆษณาที่จะเข้ามาซื้อหน้าอยู่ ตอนนี้คู่แข่งโดยตรงของเราอาจจะไม่มี แต่ด้วยเรื่องที่เราทำเป็นเซ็กเมนต์ที่กินวงกว้าง ไม่ได้เป็นฮาร์ดนิวส์เสียทีเดียวทั้งหมด แต่จะเป็นซอฟต์นิวส์ด้วย จุดนี้ก็อาจจะมีคู่แข่งบ้าง”
ความกังวลทั้งหลายก็ดูจะคลายลง เมื่อฟอร์บส์ไทยแลนด์ฉบับแรกที่มี ชาติศิริ โสภณพนิช แห่งธนาคารกรุงเทพ มาขึ้นปกและให้สัมภาษณ์พิเศษก็ได้รับการต้อนรับจากคนอ่านได้ดีไม่น้อย นั่นก็เป็นเหมือนกำลังใจให้กับทีมงานเพื่อเดินหน้าต่อไป
ในฐานะที่ผ่านการทำงานในองค์กรทั้งของไทยและต่างประเทศมาพอสมควร นพพร พบว่า ต่างมีจุดอ่อนจุดแข็งที่แตกต่างกันไป
“องค์กรต่างประเทศเขามีเป้าหมายมีแบบแผนระบบการทำงานที่แน่นอนเป็นลายลักษณ์อักษร เวลาประเมินผลงานก็จะประเมินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ถ้าคุณไม่ได้ตามเป้าก็ต้องไป ถ้าคุณได้ตามเป้าก็ได้รับรางวัล ถ้าทำได้เกินเป้าก็จะได้รับรางวัลที่ดีขึ้น แต่ถ้าเป็นระบบไทย กฎเกณฑ์บางอย่างจะไม่ได้เขียนไว้อย่างชัดเจน ทำให้ถูกตีความตามความเชื่อหรือตามประสบการณ์ของแต่ละคน อย่างที่เขาพูดกันว่า ทำได้ตามใจคือ ไทยแท้ หรือสบายๆ คนไทยจะทำงานกันแบบสบายๆ ถ้ามีปัญหาก็แก้กันด้วยความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ข้อเสียของการทำงานแบบคนต่างชาติคือ เมื่อมีเป้าและต้องทำตามเป้าให้ได้ก็จะเกิดความเครียด อย่างสิงคโปร์เนี้ย คนทำงานหนัก ทำงานเยอะ แล้วก็เครียดกว่าคนไทยมาก แต่ว่างานก็อาจจะมีประสิทธิผลมากกว่า แต่คนไทยเราก็ทำงานสบายๆ เครียดน้อยกว่า”
ชายวัยต้น 40 คนนี้หายใจเข้าออกเป็นงาน แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเวลาแบ่งให้กับครอบครัวเสมอ“ผมชอบทำงาน การทำงานทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้พบปะผู้คน ผมไม่อยากอยู่กับที่ การทำงานและทำงานหนักทำให้เราได้ความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาทุกวัน เพราะโลกหมุนไปเร็วมาก ถ้าเราหยุดอยู่กับที่ เราก็จะอยู่ข้างหลังคนอื่น”หากว่าระหว่างทางหากเจอกับปัญหา นพพร เชื่อว่า“ทุกปัญหามีทางออก ต้องมีสติค่อยๆ หาทางแก้ ทุกคนต้องเคยท้อ ท้อได้ แต่ว่าต้องตั้งสติแล้วกลับมาใหม่ หาทางออกจากปัญหาให้ได้ ทำผิดก็ต้องยอมรับ หาทางแก้ไขปัญหานั้น ผ่อนหนักให้เป็นเบา ผมว่าถ้าเรายังมีสติอยู่มันก็จะมีทางออกอยู่เสมอ”
วันนี้ นพพร วงศ์อนันต์ ได้เดินทางมาถึงเป้าหมายที่เคยตั้งไว้แล้ว“ก่อนหน้านี้ผมเคยฝันว่าจะเป็น บก.หนังสือพิมพ์สักฉบับหนึ่ง ตอนนี้ก็ได้เป็น บก.นิตยสารแล้ว ต่อนี้ไปก็ต้องพยายามทำให้ความสำเร็จนี้อยู่ไปอย่างต่อเนื่อง ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปว่า ทำยังไงเราถึงจะสามารถรักษาความสำเร็จนี้ไว้ได้ แล้วก็สำเร็จยิ่งขึ้น มีผู้อ่านมากขึ้น เป็นที่กล่าวขานของผู้คนในแง่ที่ดี”
แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไป โดยมีความท้าทายอื่นๆ รออยู่@
สื่อน้ำดีในนิยามของ นพพร วงศ์อนันต์
“อาชีพสื่อมีอำนาจมีอิทธิพลพอสมควร แต่เมื่อเข้ามาเป็นสื่อแล้วเราจะทำยังไงไม่ให้หลงใหลได้ปลื้มกับอำนาจที่ได้มา เพราะว่าอำนาจที่เราได้มาก็เป็นหัวโขนอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถหลุดหรือถอดออกได้ ระหว่างที่เป็นสื่อเราต้องคำนึงถึงผู้อ่านผู้ฟังผู้ดูของเรา ต้องทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับเขาผ่านสิ่งที่เรานำเสนอ เราต้องเลือกว่าจะนำเสนอด้วยคุณค่าของข่าว หรือคุณค่าของเรื่องนั้นจริงๆ หรือนำเสนอไปเพราะว่าอิทธิพลทางด้านการเงิน หรืออามิสสินจ้างที่เขาให้มา นักข่าวใหม่ๆ จำนวนหนึ่งก็อาจจะอยากรวยเร็วหรือมีเกียรติในสังคม ทำให้ใช้ปากกาที่เรามีอยู่ในมือไปในทางที่ไม่ดี ปากกาในมือของเรามีอิทธิพลพอสมควรที่จะเขียนชี้เป็นชี้ตายให้ใครได้ แต่พอตำแหน่งนี้จากไป เราก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจอะไร เราก็ต้องยึดหลักให้มั่นว่า สิ่งที่นำเสนอเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านผู้ฟังผู้ดูขนาดไหน โดยใช้วิจารณญาณของตัวเอง”


