ชีวิตก้าวกระโดด ธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกรัฐบาล
ชีวิตก้าวกระโดดอีกครั้ง สำหรับหนุ่ม เก๋ – ธีรัตถ์ รัตนเสวี วัย 42 ปี
โดย...จตุพล สันตะกิจ
ชีวิตก้าวกระโดดอีกครั้ง สำหรับหนุ่ม เก๋ – ธีรัตถ์ รัตนเสวี วัย 42 ปี
เส้นทางจากโปรดิวเซอร์รายการทีวี คนเขียนสคริปต์ ผู้ดำเนินรายการข่าวเศรษฐกิจ และผู้ประกาศข่าวค่ำ เขาหันเหเข้าสู่เส้นทางการเมืองในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ มุมมอง แง่คิดที่น่าสนใจ กับพลังกายและพลังใจที่เหลือล้น
“ผมไม่เคยคิดจะมาอยู่ในแวดวงสื่อมวลชน สมัยมัธยมผมเป็นเด็กสายศิลป์คำนวณ ตอนสอบเอ็นทรานส์สมัยตัดแปะ ผมชอบถ่ายรูป ก็เลยตัดสินใจว่า ผมชอบคณะที่เกี่ยวกับการถ่ายรูป ตัดต่อ ผมก็แปะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และบังเอิญดันสอบติด” ธีรัตถ์ ย้อนอดีต
ธีรัตถ์ เป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกมาตั้งแต่เด็ก แต่การทำกิจกรรมในคณะนิเทศน์ มากมาย ทำให้มั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยุคที่วงการโทรทัศน์ไทยมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปมากในยุค ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล
“เพื่อนๆสมัยมัธยมจะรู้ว่าผมเป็นคนขี้อายมาก ทุกคนก็ช็อกเหมือนกันเมื่อเห็นผมอยู่ในจอทีวี”
เช่นกัน “idol” หรือคนที่เป็นแรงบันดาลใจของ ธีรัตน์ นอกจาก อาจารย์สมเกียรติแล้ว ยังมี ผู้หญิงเก่ง 2 คน คือ นก นิรมล เมธีสุวกุล และ แหม่ม ยุพา เพ็ชรฤทธิ์
“พอผมเรียนจบนิเทศน์ ผมเดินไปสมัครงานกับ idol ของผม ตอนนั้น พี่แหม่ม พี่นก เปิดบริษัทป่าใหญ่ครีเอชั่น ผมก็ตั้งใจเตรียมเอกสารทุกอย่างที่ทำมาสมัยเรียนนำไปพรีเซ็นต์กับพี่ยุพา ตอนเจอกันครั้งแรกผมก็ตกใจ เพราะพี่ยุพามาคุยเอง และแกก็รับเข้าทำงานเลย ผมก็ได้ทำงานสมใจ”
เมื่อทำงาน สิ่งที่ ธีรัตถ์ ได้เรียนรู้ คือ “การทำงานถ้าเรามีความตั้งใจ ก็จะทำให้เราก้าวไปสู่จุดที่ต้องการได้ ผมเลยมีสโลแกนประจำใจว่า If I Can Dream It, I Can Do It คือ ถ้าผมฝันว่า จะทำอะไรได้ ผมต้องทำมันให้ได้” และนั่นเป็นแรงบันดาลใจก้าวแรกของ ธีรัตถ์ ที่จะก้าวสู่หนทางคนทีวี
ต่อมา ธีรัตถ์ เรียนต่อระดับปริญญาโทด้านโทรทัศน์ ก็ปรึกษากับยุพา “พี่เขาบอกว่าน่าจะไปเรียนที่อเมริกา” เขาจึงเลือกเรียนคณะ Arts in Communications Arts มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค อินสติติวท์ ออฟ เทคโนโลยี และเป็นครั้งแรกที่ ธีรัตถ์ ได้เข้าสู่แวดวงข่าวเต็มตัว
“ตอนที่ผมเป็นช่างภาพ เป็นนักข่าวท้องถิ่น และทำ CG อยู่ที่สถานทีโทรทัศน์ท้องถิ่นในนิวยอร์คคือ Long Island News Tonight ผมหิ้วกล้องไปถ่าย แล้วกลับมารันที่สถานีที่ต้องออกอากาศทุกวัน สิ่งที่สอนผมก็คือ ห้องข่าวในต่างประเทศ เมื่อทำอะไรผิด จะมีลักษณะมาสอนให้เราเข้าใจว่าคุณทำอย่างนี้สิ แล้วมันจะดีกว่าที่คุณทำอย่างไร”
ประสบการณ์การทำงานบริษัทป่าใหญ่ครีเอชั่น ที่เน้นการทำสารคดี ประสบการณ์ห้องข่าวในต่างประเทศ และเรียนจบปริญญาโทด้วยเวลาเพียง 1 ปี ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 ธีรัตถ์ ก็กลับมาทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวี
“กลับมาปี 2539 ไอทีวีเปิดพอดี ผมไม่เคยคิด ไม่เคยฝันว่า จะเป็นผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ ผมสมัครเป็นโปรดิวส์เซอร์ เพราะเป็นคนขี้อาย แต่เราตั้งใจทำงาน สั่งสมประสบการณ์ สั่งสมทักษะที่เรามี เมื่อวันที่โอกาสมาถึง เราจะก้าวไปถึงอีกจุดหนึ่งได้เร็วมากขึ้น”
ธีรัตถ์ เข้าทำงานที่สถานีแต่เช้าและกลับดึก ทำทุกอย่าง ตั้งแต่โปรดิวส์เซอร์รายการ “เปิดโลกธุรกิจ” แปลข่าว และนั่งเขียนข่าวเพื่อนำไปออกข่าวเย็น กระทั่งวันหนึ่งผู้ประกาศข่าวไม่พอ ธีรัตถ์ ถูกเรียกไปประจำการเป็นผู้ประกาศข่าวหน้าจอ ด้วยประโยคที่ว่า “ก็ลองไปทำสิ”
นั่นเองเป็นก้าวสู่ผู้ประกาศข่าวเบอร์ 1 ในขณะนั้น
การทำหน้าที่หน้าจอ ทำงานหนัก ไม่พอต้องมีความรอบรู้ เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เช่น มีคนเคยถาม ธีรัตถ์ ว่า ไปเรียนเศรษฐศาสตร์มาหรือถึงไปทำข่าวเศรษฐกิจ คำตอบคือ ธีรัตถ์ ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจนัก แต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ทำให้ ธีรัตถ์ ต้องอ่านมากขึ้น
“กลับบ้านก็ติดซีเอ็นเอ็น บีบีซี ตื่นมาก็ดูทีวีต่างประเทศ อยู่กับข่าวตลอดเวลา ทำข่าว เขียนข่าว ป้อนข่าวให้ฝ่ายที่ตัวเองไม่ได้รับผิดชอบ
พอมาถึงจุดหนึ่งผมพบว่า เราต้องสนุกกับการเปลี่ยนแปลง การอยู่กับที่นานๆ ทำให้เราสบาย ความคุ้นชินจะทำให้เราสักแต่ทำงานให้เสร็จไปวันๆ แรงบันดาลใจตอนนั้น คือ อยากทำให้มันดีกว่าเดิม สโลแกนที่มาพบตอนหลัง คือ เราต้องสนุกกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าเราอยู่กับที่ ความคุ้นชิน จะทำให้เราอยู่กับอดีต”
ไม่ต่างจากคนทั่วไป ธีรัตถ์ เป็นคนที่กลัวปัญหา แต่ก็เลือกเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยการคิดบวก “แรกๆ ผมเป็นคนที่กลัวปัญหา แต่พอได้ทำงานเบื้องหน้า ได้ฝึกความมั่นใจ ประกอบกับการที่ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี ผมเชื่อว่าทุกอย่างมีทางออกที่เป็นบวก อะไรที่เป็นปัญหาผมเข้าไปลุย ใครที่มีปัญหา ผมเข้าไปคุยหมด เคลียร์ใจกัน ถ้าเราได้เปิดใจคุยกันน่าจะทำให้ความบาดหมางลดลง”
เช่นเดียวกัน เมื่องานมีความผิดพลาด ธีรัตถ์ จะบอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร” แต่จะต้องไม่ผิดพลาดซ้ำอีก “ผมมองว่าความผิดพลาดทุกอย่าง บทเรียนจะทำให้เราเข้มแข็ง แข็งแกร่งมากขึ้น และทำในสิ่งใหม่มากขึ้น ถ้าเกิดเราบอกว่าถ้าทำแล้วมันเจ๊งอีกแล้วเราก็แย่ลง ไม่มีอะไรดีขึ้น ผมจึงมองว่า ทุกข้อผิดพลาดเป็นบทเรียน และนำข้อผิดพลาดนั้นมาทำในวันนี้ให้ดีกว่า และดีขึ้นในอนาคต”
แต่แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อสถานีโทรทัศน์ไอทีวี “จอดำ”
“อยู่ๆ สถานีไอทีวีก็ปิด จอดำ เราตกงานทันที ไม่รู้จะทำอย่างไรในชีวิต ไม่เคยรู้สึกตัวชาขนาดนี้มาก่อน เหมือนชีวิตกำลังค่อยเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ประกาศข่าวค่ำ ซึ่งผมถือว่าเป็นเส้นทางใหญ่ในชีวิต อ่านข่าวค่ำได้ไม่ถึงเดือนสถานีถูกปิด แล้วจะทำอย่างไรต่อ นอนไม่หลับ หาเงินที่ไหนดี จะไปสอนหนังสือ มันคิดมาก”
วันนั้น ธีรัตถ์ กลับบ้านไปกอดคนที่รักที่สุด คือ คุณพ่อคุณแม่ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ชีวิตก็มีทางไป แล้วมันก็หาทางไปได้จริงๆ “ก็อย่างที่บอกผมเป็นคนไม่หยุดนิ่ง ไม่อยู่กับที่ ต้องขวนขวยไขว่คว้าหาสิ่งใหม่ๆ ให้ตนเองตลอดเวลา ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์หาโอกาส หาช่องทางให้ชีวิต แต่จู่ๆ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสก็ชวนไปทำงาน ก็เลยลองอีกซักตั้งหนึ่ง แม้ไอทีวีกับไทยพีบีเอส มีวิธีจัดการและวิธีคิดที่ต่างกัน”
ธีรัตถ์ อยู่ไทยพีบีเอสแค่ 2 ปีเต็ม รู้สึกอิ่มตัว จึงขอลาออก
แล้วเมื่อ “นายเก่า” ทรงศักดิ์ เปรมสุข เอ็มดีไอทีวีคนสุดท้าย ให้โอกาสใหม่ที่ วอยซ์ ทีวี “ผมเป็นห่วงเรื่องสี เรื่องเลือกข้าง เพราะเป็นช่วงของความขัดแย้งในสังคม ตอนอยู่ไทยพีบีเอสผมโดนด่าทั้งสองฟาก ที่วอยซ์ให้โอกาสไม่พูดเลยว่า ผมต้องโปรคนนั้นคนนี้”
การทำงานสื่อสารมวลชนในภาวะที่สังคมขัดแย้ง ธีรัตถ์ บอกว่า “ณ วันนั้น ผมบอกเลยว่า ผมไม่แคร์ว่า เราต้องดูเป็นคนดีในสายตาใคร แม้สถานีจะถูกมองว่าเป็นสีนั้นสีนี้ เพราะผมมีจุดยืนว่า ผมเสนอในสิ่งที่ถูกแล้ว และให้ผู้ชมเป็นคนตัดสินเอง อย่างวันที่ผมต้องมาทำรายงานสดครั้งแรก วันตัดสินคดีเรื่องเงินคุณทักษิณ วอยซ์ไม่เคยบอกว่า คุณต้องทำงานแบบไหน ผมคิดว่า ผมมีความเป็นมืออาชีพด้านสื่อ”
ทำงานที่ วอยซ์ ทีวี ได้ 3 ปี และเป็น 3 ปีที่ ธีรัตถ์ยังคงสนุกกับการเปลี่ยนแปลง และชีวิตก็ก้าวกระโดดอีกครั้ง เมื่อถูกเชิญเป็นพิธีกรรายการ นายกฯ ยิ่งลักษณ์พบประชาชน “ผมก็จักท่านตั้งแต่อยู่เอไอเอส เคยเห็นสไตล์การทำงานของท่าน ทำให้เข้าใจว่า ท่านเป็นคนอย่างไร ท่านเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่ไม่คุ้นเคยกับการตอบสื่อมากนัก ผมคิดว่าถ้าเราเข้าไปช่วยคุยกับคนที่ไว้ใจรู้ใจ ท่านจะมีความเป็นกันเองมากขึ้น”
เมื่อ ธีรัตถ์ ถูกชักชวนให้มาทำงานกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ด้วยคำพูดว่า “คุณเก๊มาช่วยกันไหมค่ะ” ธีรัตถ์ ไม่รู้ว่า จะเข้ามาทำงานอะไรด้วยซ้ำ แต่เมื่อถูกชักชวนให้มาเป็นโฆษกรัฐบาล ธีรัตถ์ คิดหนัก กับโอกาสครั้งใหม่ในชีวิต
“ผมบอกตัวเองว่า โอกาสไม่ได้มีมาง่ายๆ ถ้าไม่ลองสักตั้ง ไม่งั้นมันคาใจ ซึ่งตอนนั้นกลัวมาก แต่ก็เอาวะ ถ้าวันหนึ่งผมอายุ 50, 60 ปี จะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ทำไมวันนั้นไม่ทำ ชีวิตเราก็กระโดดมาอย่างนี้ตลอด และเราก็คิดว่า เราน่าจะมีความรู้ความสามารถบ้าง มันถึงเข้าตา ถ้าไม่ได้ เขาเตะเราออกไปเอง”
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ทุกย่างก้าวของชีวิต ภายใต้แรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลัง ธีรัตถ์ คือ ครอบครัว เขาจึงตั้งปฏิญญากับตัวเองว่า “ต้องทำให้คนที่เรารักมีความสุขที่สุด”
“ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา คุณพ่อเกษียณอายุ คุณแม่เริ่มเกษียณ ผมตั้งใจทำงานหนักและเก็บเงินก้อนเพื่อพาเขาเที่ยวให้มากที่สุด ให้เขาเห็นโลกมากที่สุด ได้กินข้าวด้วยกัน ผมเตือนตัวเราว่า ณ วันนี้ ถ้าเรายังไหว เราไปได้ เราก็ควรจะพาคนที่เรารักที่สุดไปด้วย ผมจึงให้เวลากับคุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างมาก ตอนนี้ผมโสด ผมเป็นคนติดที่บ้านมาก”
ตำแหน่งโฆษกรัฐบาล คือ บทบาทใหม่ที่ ธีรัตถ์ ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่า เขาทำได้ เหมือนเช่นที่เคยทำมา
“ถ้าทำไม่ได้ก็เก็บกระเป๋ากลับบ้าน ชีวิตมีสองทาง บวกหรือลบ ต้องเผื่อใจไว้เสมอ ณ วันที่เราได้ความไว้วางใจ ต้องทำให้ดีที่สุด คำเดียวที่ผมใช้ตลอดชีวิต คือ ถ้าคุณฝันว่าจะทำอะไร คุณต้องทำมันให้ได้ ถ้าแพ้ก็ได้ทำแล้ว อย่าไปเสียใจ และถ้าเอาแต่ฝัน ก็ไม่ได้ทำ แม้เราจะผิดหวังก็ตาม”
นี่คือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ “ธีรัตถ์” คนข่าวโฆษกรัฐบาล


