เวียนศีรษะ
อาการเวียนศีรษะหรือมึนศีรษะ ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าเวียนศีรษะเหมือนบ้านหมุน อาการที่เกิดขึ้นอาจไม่หนักมาก แต่มีบางคนที่อาการรุนแรงมากเกิดขึ้นบ่อยจนเป็นปัญหาประจำตัว
โดย...แพทย์จีนรติกร อุดมไพบูลย์วงศ์ แพทย์จีนผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็ม
อาการเวียนศีรษะหรือมึนศีรษะ ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าเวียนศีรษะเหมือนบ้านหมุน อาการที่เกิดขึ้นอาจไม่หนักมาก แต่มีบางคนที่อาการรุนแรงมากเกิดขึ้นบ่อยจนเป็นปัญหาประจำตัว หรือบางคนอาจมีการคลื่นไส้อาเจียน เสียการทรงตัวเป็นลมร่วมด้วยได้
สาเหตุเวียนศีรษะ
1.โรคที่เกิดจากหูชั้นใน ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะไม่มีอาการอะไรนำมาก่อน แต่มักจะมีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเกิดขึ้นตอนตื่นนอน หรือลุกจากที่นอนจะมีอาการเวียนศีรษะทันที อาการเวียนศีรษะของโรคนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนตำแหน่งของศีรษะ เช่น ก้ม เงย หรือล้มตัวลงนอน อาการอาจเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ บางครั้งอาการเวียนศีรษะที่เกิดจะรุนแรงมาก และอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย อาการเวียนศีรษะจากพยาธิสภาพที่หู Meniere’ s disease
สาเหตุ Meniere’ s Disease
มีการเพิ่มขึ้นของปริมาณของเหลวในหูชั้นในส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสาทการทรงตัวและประสาทการได้ยิน
เกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง การติดเชื้อไวรัส
ได้รับบาดเจ็บ หรือติดเชื้อ เช่น หูชั้นกลางอักเสบ
ร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ภาวะเครียดทางจิตใจ
กรรมพันธุ์
อาการ Meniere’ s Disease
อาการเวียนศีรษะ : มักจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวด้วยอาการวิงเวียนอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยล้มลง ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าพื้นบ้านหรือเพดานหมุน มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง
การได้ยินลดลง หูอื้อ ผู้ป่วยมักมีอาการหูตึงและแว่วเสียงดังในหู ซึ่งเป็นพร้อมกับอาการวิงเวียน เสียงที่ไม่ได้ยินมักเป็นเสียงต่ำ เช่น เสียงนาฬิกา เสียงกริ่งโทรศัพท์ เป็นต้น
อาการหนักๆ หน่วงๆ ในหู
2.โรคที่เกิดจากกระดูกต้นคอ สาเหตุของอาการเวียนศีรษะอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพของกระดูกต้นคอ เกิดจากกระดูกสันหลังส่วนคอมีความผิดปกติ พบมากในกลุ่มวัยรุ่นถึงทำงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆ หรือพบในคนสูงอายุ กระดูกต้นคอเสื่อมตามวัย ซึ่งอาการเวียนศีรษะมีได้หลายรูปแบบ สังเกตได้ว่า การเกิดอาการมีความสัมพันธ์กับการหมุนหรือหันคออย่างชัดเจน เช่น เวลาเงยหน้าหรือเอี้ยวคอมากๆ จะมีอาการเวียนศีรษะ มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ เสียสมดุลการทรงตัวร่วมด้วย
3.โรคที่เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ นอกจากอาการเวียนศีรษะมักจะพบอาการอื่นๆ รวมอยู่ด้วย เช่น อาการอ่อนแรงของแขนหรือขาซีกใดซีกหนึ่ง มีอาการตาพร่ามัว หรืออาการพูดลำบากร่วมด้วย ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นควรต้องไปพบแพทย์โดยด่วน อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดทางสมอง
4.โรคทางกายอื่นๆ บางอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โลหิตจาง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วความดันปกติควรอยู่ที่ 120/80 mmHg โดยองค์การอนามัยโลก ได้กำหนดไว้ว่า หากใครมีความดันโลหิตสูง 140/90mmHg ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง
**ความดันโลหิตของคนไม่เท่ากันตลอดเวลา เพราะขึ้นอยู่กับสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม อารมณ์ ความเครียด อายุ เพศ ท่าทางในการวัดความดัน**
สาเหตุทางแพทย์จีน
หยางตับกำเริบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย มักมาจากอารมณ์หงุดหงิดขี้โมโห เครียดหรือกังวล ทำให้ชี่ตับติดขัด นานวันเข้ากลายเป็นไฟขึ้นไปบริเวณศีรษะทำให้มีอาการเวียนศีรษะ หน้าแดง หูอื้อ ปากขม อาการจะเป็นหนักขึ้นเมื่ออารมณ์เปลี่ยนแปลง
เสมหะความชื้นคั่งค้าง ในทางแพทย์จีนนั้นม้ามทำหน้าที่ส่งลำเลียงสารน้ำในร่างกาย หากเรารับประทานอาหารรสหวาน มันมากเกินไปจนไปสกัดกั้นการทำงานของม้ามและกระเพาะอาหาร ทำให้ความชื้น สารน้ำไม่ลำเลียงมากขึ้นจนกลายเป็นเสมหะอุดกั้นทำให้มีอาการเวียนศีรษะ แน่นหน้าอก คลื่นไส้อยากอาเจียน
ชี่และเลือดไม่พอเกิดจากพื้นฐานร่างกายอ่อนแอ หรือเจ็บป่วยเป็นเวลานานจนร่างกายอ่อนแอ ทำให้ชี่ในตัวเราไม่พอ ซึ่งชี่และเลือดนั้นมีความสัมพันธ์กัน ถ้าชี่พร่องทำให้เลือดพร่องตามด้วย มีอาการเวียนศีรษะ อ่อนเพลียง่าย หน้าซีด ไม่อยากรับประทานอาหาร
สารจำเป็นในไตพร่อง พบมากในคนสูงอายุ ในทางแพทย์แผนจีนนั้น ไตทำหน้าที่กักเก็บสารจำเป็นในร่างกาย ซึ่งสารจำเป็นเหล่านี้นำไปสร้างไขกระดูก,ส่วนสมอง เป็นแหล่งรวบรวมไขกระดูก ดังนั้นหากสารจำเป็นในไตพร่อง สมองขาดการบำรุงเลี้ยง ทำให้มีอาการเวียนศีรษะ ตาลาย หูอื้อ อ่อนเพลีย
วิธีการรักษาในทางแพทย์จีน
คนไข้ที่มารักษาอย่างต่อเนื่องด้วยการฝังเข็มและการให้ยาจีนรับประทานนั้น อาการดีขึ้นจนถึงหายขาดได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เกิดโรค รวมถึงสาเหตุและการดำเนินชีวิต
การปฏิบัติตัวขณะเวียนศีรษะ
1.เมื่อมีอาการเวียนศีรษะ ขณะเดิน ยืน หรือทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ ควรหยุดนั่ง นอนพักเฉยๆ ไม่ควรมองไปที่วัตถุที่เคลื่อนไหวอยู่
2.ขณะเวียนศีรษะไม่ควรรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำมาก เพราะอาจทำให้อาเจียน
3.ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์
การป้องกัน
1.พยายามหลีกเลี่ยงการหมุนตัว หรือการเคลื่อนไหวแบบไวๆ เช่น ก้ม หรือเงย เพื่อไม่ให้เกิดอาการเวียนศีรษะ
2.หลีกเลี่ยงการรับประทานกาเฟอีน เช่น ชากาแฟ น้ำอัดลม การสูบบุหรี่ ซึ่งจะไปลดเลือดที่ไปเลี้ยงระบบประสาทการทรงตัว
3.ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจค้นหาโรคที่เป็นต้นเหตุของอาการเวียนศีรษะ
4.ระวังการใช้ยาที่เป็นพิษต่อประสาทหู เช่น ไม่ควรซื้อยาหยอดหูมาใช้เอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์
5.ระวังต้นคอได้รับการบาดเจ็บ เช่น ไม่ควรนั่งทำงานท่าเดียวนานๆ, ไม่ควรนอนฟูกนิ่มเกินไป ความสูงของหมอนควรพอดีกับต้นคอ
6.ลดความเครียด ควบคุมอารมณ์ให้แจ่มใส พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
7.พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ เช่น สถานที่ที่มีเสียงดัง แสงแดดจ้า อากาศร้อนอบอ้าว


