posttoday

ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์ ละครเวทีที่ฉันรัก

16 พฤษภาคม 2556

เพิ่งจะจบการแสดงชุดล่าสุด The Giordano Bruno Project ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา

โดย...วิชช์ญะ ยุติ / ภาพ พงษ์ไทย วัฒนาวณิชย์วุฒิ

เพิ่งจะจบการแสดงชุดล่าสุด The Giordano Bruno Project ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา นักแสดงละครเวทีหน้าหมวย “ปูเป้-ศศพินทุ์ ศิริวาณิชย์” จึงยังพอมีเวลานั่งคุยสบายๆ กับเรา เพราะจากนี้เธอและสองเพื่อนศิลปิน “ยาโคโป จันนิโนโต” นักดนตรีชาวอิตาเลียน และ “นานา เดกิน” ผู้กำกับนักแสดงละครเวทีลูกครึ่งไทยอเมริกัน ก็เตรียมตัวจะนำโชว์ชุดดังกล่าวโบยบินไปร่วมแสดงในเทศกาลการแสดง Bel Teatro ณ ประเทศอิตาลี วันที่ 25 ก.ค.นี้แล้ว

การแสดงชุด The Giordano Bruno Project (40 นาที) ปูเป้และเพื่อนศิลปินได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตของนักคิดนักบวชชาวอิตาเลียน ยุคศตวรรษที่ 16 “จอร์ดาโน บรูโน” ที่ยอมสละชีพตัวเองเพื่อให้ก่อเกิดเป็นปรัชญาล้ำๆ อันว่าด้วยเรื่องจักรวาล พระเจ้า วิทยาศาสตร์ และมนุษยชาติ จนถูกประณามว่าเป็นพวกนอกรีตและโดนเผาทั้งเป็น โดยปูเป้และเพื่อนศิลปินนำมาต่อยอดดัดแปลงเป็นการแสดงร่วมสมัย ผสานไว้ซึ่งศิลปะหลากแขนง ข้ามวัฒนธรรมระหว่างการบรรเลงเครื่องดนตรีเรอเนสซองซ์ ลุท การเคลื่อนไหวร่างกายและสื่อผสม ถ่ายทอดการเดินทาง การค้นหาข้อเท็จจริง เรื่อยถึงภาพสะท้อนความรุนแรง การกดขี่ในหลายๆ แง่มุมที่ จอร์ดาโน บรูโน ประสบพบเจอ

“ตัวเป้เป็นคนที่ชอบทำงานกับคนใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ ไม่รู้สิ เป้อาจจะชอบค้นหาสิ่งใหม่ๆ มั้งคะ ยิ่งเป็นคนละครเวทีด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องหาอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างโชว์ชุดนี้ แรกเริ่มมันมาจากความคิดของเพื่อนนักดนตรีชาวอิตาเลียน ยาโคโป ที่เป้ไปเจอเขาในงานหนึ่ง เขาอยากทำงานร่วมกับเป้ แล้วก็อยากให้มันเป็นมากกว่าการเต้นประกอบดนตรี เขาก็เสนอว่าอยากทำงานที่เกี่ยวกับชีวิต จอร์ดาโน บรูโน แต่ทางยาโคโปเสนอว่าอยากได้นักแสดง 2 คน เป้ก็นึกถึงเพื่อนเลย นานา เพื่อนที่อยู่กลุ่มละครบีฟลอร์ ในที่สุดก็เลยเกิดโชว์ชุดนี้”

ปูเป้เป็นสาวอารมณ์ดี ผ่านงานละครเวทีมาพักใหญ่ ภายใต้สังกัดกลุ่มละครบีฟลอร์ เธอเริ่มสนใจศาสตร์ละครเวทีตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นปี 3 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ่อ...ลืมบอกไปว่า เธอไม่ใช่สาวอักษรศาสตร์การละคร เพราะปูเป้เลือกเรียนวิชาเอกวรรณคดีอังกฤษ

“จริงๆ มันเริ่มมาจากตอนที่เป้ไปออดิชั่นละครคณะ ก็ไม่คิดอะไร อยากทำอะไรสนุกๆ ปรากฏว่าออดิชั่นติด ก็เลยลองซ้อมลองเล่น ซึ่งก่อนหน้านั้นเป้แทบไม่สุงสิงเลย รู้จักน้อยมาก พอไปลอง รู้สึกเลยว่านี่แหละคือสิ่งที่ฉันกำลังตามหา ชอบมาก มีความสุขค่ะ เวลาที่ได้ไปซ้อม ยิ่งได้แสดงก็ยิ่งใช่ เหมือนคนเจอเนื้อคู่นั่นแหละค่ะ (หัวเราะ) จากนั้นเป้ก็ได้แสดงเรื่อยมาจนกระทั่งจบ”

เรียนจบ แต่การแสดงละครเวทียังไม่จบ ปูเป้มุ่งมั่นที่จะก้าวเดินสู่เส้นทางละครเวทีอย่างเต็มตัว เธอมีโอกาสร่วมงานกับคนละครเวทีและกลุ่มละครระดับท็อปของเมืองไทย ทว่าสุดท้ายปูเป้ก็ตัดสินใจติดแบรนด์ของตัวเองในนาม นักแสดงกลุ่มละครบีฟลอร์

“อยู่กับบีฟลอร์ก็น่าจะประมาณ 4 ปี เป้รู้เลยว่าพัฒนาการของตัวเองดีขึ้นมากๆ ไม่ใช่ว่าเก่งอะไรนะคะ แต่วัดจากคนที่ไม่รู้อะไรเลย เป็นง่อยเลยค่ะตอนนั้น ไม่เคยเรียนการแสดง วันนี้มันเหมือนทุกอย่างค่อยๆ กระจ่างแจ้ง จากคนที่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ก็เริ่มทำได้ เพราะความที่พี่ๆ น้องๆ บีฟลอร์มักจะชอบให้ฝึกอะไรที่ไม่เคยฝึก ก็เลยส่งผลดีกับเป้ในฐานะมือใหม่

เป้รู้สึกว่าเป็นโชคดีของตัวเองที่ได้มาเจอ ได้ทำงานกับคนเก่งและมหัศจรรย์มากกกกกก (หัวเราะร่วน) ทำให้เป้ได้ประสบการณ์การแสดงที่แตกต่าง สำหรับเป้มันเป็นความท้าทายที่นักแสดงจะต้องทำให้ได้ ที่จะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ บรรยากาศ หรืออารมณ์ที่หลากหลายมากๆ ซึ่งในชีวิตประจำวัน เป้ว่าเป้คงไม่มีโอกาสทำอะไรแบบนั้นเท่ากับตอนที่เป้อยู่ในละครหรอก บางสิ่งมันมีอยู่แค่ในละครน่ะค่ะ ชีวิตประจำวันมันยากนะที่คนเราทั่วไปจะได้สัมผัส มันก็เลยเป็นความสนุกและท้าทายค่ะ”

ความโดดเด้งในด้านการแสดงของปูเป้นั้น ว่ากันตามศาสตร์การละคร ก็จะเรียกว่า “ฟิสิคัล เธียเตอร์” อะไรและยังไง ไปฟังจากปากเธอเล่าดีกว่า

“เป็นการใช้ร่างกายในการสื่อสาร ไม่ใช่แดนซ์อย่างเดียว แล้วก็ไม่ได้แอ็กติ้งอย่างเดียว แต่จะรวมเอาการเคลื่อนไหวท่าทางกับการแสดงทางอารมณ์ ซึ่งนักแสดงจะต้องอุ้มเอาสองอย่างนี้เอาไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน การเคลื่อนไหวร่างกายเป้ว่า ทำให้เป้ได้ค้นหามุมต่างๆ ที่เป้อาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมี หรือบางทีถูกปกปิดไว้ โดยเฉพาะสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน การฝึกเคลื่อนไหวมันเหมือนได้ฝึกสมาธิน่ะค่ะ ได้อยู่กับร่างกาย ได้อยู่กับจิตใจ สุดท้ายได้อยู่กับตัวเอง ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น”

ด้วยเพราะมีฝีมือและความสามารถ ปูเป้เลยถูกดึงไปแสดงในหนังดังและโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์อยู่ไม่ขาด แม้จะเป็นบทเล็กๆ หรือโผล่ไม่กี่วินาที เธอก็แฮปปี้ เพราะอย่างน้อยนี่คือโอกาสที่จะได้ฝึกปรือ

“อยู่วงการหลายปี ได้เจอคนเก่ง เจอคนมหัศจรรย์ รู้เลยค่ะว่าหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ หยุดคือตายและโง่เลยนะคะ ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งต้องพัฒนาค่ะ ซึ่งเป้ว่ามันเป็นเรื่องดีสำหรับการเป็นนักแสดงนะคะ ที่จะต้องพัฒนาฝีมือและความสามารถอย่างต่อเนื่อง อย่างเป้เองก็ใช้วิธีไปเวิร์กช็อป ต่างประเทศก็มีบ้าง แต่นานๆ ทีค่ะ เพราะต้องเก็บเงินก่อน (หัวเราะ) ในเมืองไทยมีที่ไหนก็จะไปทันที ไม่อยากพลาด

เป้ว่าการไปเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยได้เยอะเลยนะ ได้เจออะไรใหม่ๆ ได้แบ่งปันความรู้ระหว่างเพื่อนในวงการ ที่สำคัญเป้มีความสุขและสนุกมากๆ ที่จะเอาความรู้ใหม่ๆ เทคนิคใหม่ๆ มาต่อยอดกับการแสดงชุดต่อไป ถ้าวันหนึ่งมันไม่สนุกและไม่มีความสุขละ เป้ก็คงจะหยุดทำและหยุดแสดงแน่นอนค่ะ”

ข่าวล่าสุด

การปรับบุคลิกของ ChatGPT สู่รูปแบบคำตอบที่ตรงใจยิ่งขึ้น