หมอดูเด็กไทย (โปรด) จำไว้ว่าไม่ธรรมดา
ปกติการเรียนศาสตร์ทางด้านหมอดูทั้งหลายบรรดามีในสมัยโบราณ คนเรียนส่วนใหญ่จะเป็นคนสูงอายุและเป็นผู้ชาย ผู้หญิงไม่นิยมเรียน แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนไป
โดย...วรธารที ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์&<2288;
ปกติการเรียนศาสตร์ทางด้านหมอดูทั้งหลายบรรดามีในสมัยโบราณ คนเรียนส่วนใหญ่จะเป็นคนสูงอายุและเป็นผู้ชาย ผู้หญิงไม่นิยมเรียน แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนไป เนื่องจากคนตกงานเยอะจึงกลายเป็นคนหนุ่มสาวที่หันมาเรียนกัน และส่วนใหญ่ผู้หญิงเรียนมากกว่าผู้ชาย แต่ถ้าถามว่ามีเด็กเยาวชนเรียนไหมแล้วก็ต้องบอกว่าหายาก! ถ้ามีก็ต้องบอกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในสังคมไทย
ทว่า ณ วันนี้เรามีหมอ (ดู) เด็กเกิดขึ้นแล้ว (ขอบอก)
เด็กแค่ไหนหรือ...โอ้โฮโห่ฮิ้ว...อย่าให้เซดเลยพ่ะย่ะค่ะ เล็กสุดรุ่นจิ๋วเลย คือกำลังจะขึ้นอนุบาลหนึ่ง โตขึ้นมาหน่อยก็ประถม และโตกำลังพอดีๆ ที่กำลังร้อนวิชา เรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มีทั้งชายและหญิง
และนี่คือโฉมหน้าของเด็กที่คาดว่า ภายในวันข้างหน้าและตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชื่อของเขาจะเป็นที่รู้จักของคนไทย ในฐานะโหร ซินแส และนักพยากรณ์ และหนึ่งในนั้นมีโหรน้อยนามกรหนึ่งที่ฉายแววว่า จะเป็นโหรใหญ่และมีชื่อเสียงเลื่องลือกระฉ่อนสยาม เพราะได้รับการฟันธงจากนายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทย “ธนกร สินเกษม” เต็มปากเต็มคำ
‘ช้าง’ ต้องการพัฒนาโหราศาสตร์ไทยให้ก้าวหน้า
ชัยวัฒน์ สดชื่น หรือ ช้าง เด็กหนุ่มจากกรุงเทพฯ คือ ผู้ที่นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยฟันธงดังๆ ชัดเจนว่า อนาคตวันข้างหน้าจะเป็นโหรผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองไทย เริ่มมีความสนใจในเรื่องโหราศาสตร์มาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และหันมาจริงจังเมื่ออายุ 13 ปี และเมื่อปีที่แล้วขณะที่เขาอายุ 14 ปี 10 เดือน ก็ได้เรียนโหราศาสตร์จักรราศี กับนายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันจนจบ โดยแรงบันดาลใจมาจากความสนใจดาราศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก
“ผมชอบเรื่องของดวงดาวมาตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนวิทยาศาสตร์เวลาที่ครูสอนเกี่ยวดาราศาสตร์ ก็จะได้คะแนนเต็มทุกครั้ง แล้วเห็นว่าดาราศาสตร์กับโหราศาสตร์ใกล้เคียงกัน เลยพยายามขวนขวายหาตำราเกี่ยวกับดวงดาวมาอ่านหลายต่อหลายเล่ม เช่น ของอาจารย์เทพ ศีระบุตร จนทำให้ให้รู้ถึงความอัศจรรย์ของดวงดาว โดยไม่น่าเชื่อว่าดวงดาวบนท้องฟ้าจะสามารถทายวันตายของคนเราได้ ยิ่งชวนให้อยากศึกษาเกี่ยวกับโหราศาสตร์มากขึ้น
และหากพูดถึงตำราเล่มแรกที่อ่านมาก่อนก็คือ “ตำราพรหมชาติ” ซึ่งเป็นตำราที่โหรที่มีชื่อเสียงหลายคน เริ่มต้นเรียนโหราศาสตร์ศึกษามาก่อนที่จะใช้ตำราอื่นๆ”
การอ่านตำราพรหมชาติ ถือเป็นจุดเริ่มในการเรียนโหราศาสตร์ แต่แค่การศึกษานั้นคงไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นเมื่อปีที่แล้ว จึงได้ไปเรียนโหราศาสตร์ไทยกับอาจารย์ธนกรจนจบหลักสูตร และในการเรียนของเขาก็สร้างความอัศจรรย์ให้กับอาจารย์ผู้สอนอย่างยิ่ง
นายกสมาคมโหรฯ บอกว่า ตั้งแต่สอนมายังไม่เคยเห็นนักเรียนคนไหนที่เก่งเช่นนี้มาก่อน ช้างสามารถรู้เรื่องดวงดาวละเอียด ความรู้ของเขาพรั่งพรูมากเหนือทุกคนในห้องเรียน ซึ่งต้องบอกว่าคนที่เรียนได้อย่างเขานั้นอัจฉริยะมาก
“คนที่เรียนโหราศาสตร์ไทยจักรราศีได้ขนาดนี้ต้องบอกว่าอัจฉริยะจริง และขอบอกว่าตั้งแต่สอนมายังไม่เคยมีนักเรียนคนไหนที่มีความเก่งกาจขนาดนี้มาก่อน ตอนเรียนหรือตอนสอบทำคะแนนได้เต็มหมด สามารถอธิบายคำพยากรณ์ได้ถูกต้องแม่นยำ และมีความหลากหลาย ตอนสอบจึงต้องแยกห้องสอบเดี่ยว เพราะเกรงว่าคนอื่นจะถามหรือลอกข้อสอบเขา ซึ่งความเก่งของเขา ในห้องเรียนสามารถสอนเพื่อนๆ ในห้องได้เลย” นายกสมาคมโหรฯ พูดถึงศิษย์วัย 15 ปี
ขณะที่ชัยวัฒน์พูดถึงการเรียนว่า นอกเหนือจากในห้องเรียนแล้ว ก็จะอ่านตำราโหราศาสตร์อื่นๆ พร้อมกับค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตและเข้าห้องสมุดอยู่เสมอ เพราะเชื่อว่าการอ่านตำรามากๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงหลักการของโหราศาสตร์ ซึ่งมีอยู่หลากหลาย และช่วยให้การเรียนประสบความสำเร็จ
“คนเรียนโหราศาสตร์ไทยจะอ่านตำราเล่มสองเล่มไม่ได้ อย่างน้อยต้องสิบยี่สิบเล่มขึ้นไปเป็นพื้นฐาน เพราะโหราศาสตร์มีหลากหลายรูปแบบและหลากหลายหลักการ แค่เรื่องดาวก็ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว เชื่อไหมว่า ดาวหนึ่งดวงสามารถทายได้เป็นพันเรื่อง และดวงหนึ่งดวงสามารถทายได้ 700 กว่าอย่าง ดังนั้น นักโหราศาสตร์จะต้องอ่านดาวและเข้าใจดวงดาวก่อน ถ้าไม่เข้าใจดาว เราจะไม่รู้หลักการอะไรเลยเกี่ยวกับโหราศาสตร์”
ช้าง อธิบายคร่าวๆ แต่ชัดเจน และเล่าต่อว่า คนเป็นนักโหราศาสตร์ไม่จำเป็นต้องมีเซนส์ในเรื่องของโหราศาสตร์ ถ้าเก่งการคำนวณก็ถือว่าใช้ได้ อย่าง อาจารย์ทองเจือ อ่างแก้ว อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร นพ.ประจวบ วัชรปาน ที่เป็นนักโหราศาสตร์ที่เก่งมาก เพราะศึกษาเรื่องดวงดาวบนท้องฟ้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ส่วนเป้าหมายในการเรียนโหราศาสตร์ของชัยวัฒน์ ฟังแล้วก็ต้องทึ่ง เพราะเขาไม่ได้เรียนเพื่อเป็นอาชีพ หรือเพื่อหารายได้มาเลี้ยงชีวิต แต่เรียนเพราะต้องการที่จะนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาโหราศาสตร์ไทยให้มีความก้าวหน้ายิ่งๆ ไป เพราะเขามองว่าเกี่ยวกับโหราศาสตร์มีอะไรต้องปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง อย่างปฏิทินจันทรคติที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน มีความคลาดเคลื่อนกันอยู่
ปิ๊งปิ๊ง...หนูอยากเป็นซินแส
ด้าน ปิ๊งปิ๊ง หรือ ดญ.พัทธ์ขจี สนิทเสมอ เด็กหญิงน่ารักสดใสในวัย 4 ขวบ ลูกสาวของซินแส “ของขวัญ” หนึ่งในศิษย์ของอาจารย์มาศ เคหาสน์ธรรม ซินแสไฮเทค ก็มีความฝันที่อยากจะเป็น “ซินแส” ในอนาคต ดังนั้นความสนใจจึงอยู่ที่ศาสตร์ฮวงจุ้ย โดยเธอไม่เรียนจากครูคนไหน แต่เป็นคุณแม่ของเธอที่ถ่ายทอดวิชามาตลอดตั้งแต่ปิ๊งปิ๊งเกิดมา
ซินแสของขวัญ บอกว่า ปิ๊งปิ๊งไม่ได้เรียนในห้องเรียน แต่จะสอนด้วยวิธีธรรมชาติ โดยพยายามแทรกความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับศาสตร์ด้านนี้แบบค่อยเป็นค่อยไป ให้เขาเข้าใจธรรมชาติและพลังงานต่างๆ ตามหลักของฮวงจุ้ย
“เราจะอธิบายทุกอย่างที่เป็นหลักธรรมชาติให้เขาฟัง เช่น ทิศทางลมมายังไง ทิศทางแดดมายังไง เดือนแต่ละเดือนมีพลังงานมาจากไหน แล้วสอนเรื่อง 5 ธาตุ ซึ่งเขาสามารถบอกธาตุต่างๆ ได้ ว่าแต่ละธาตุก่อเกิดอะไร เช่น น้ำก่อเกิดไม้ ไม้ก่อเกิดไฟ ไฟก่อเกิดดิน ดินก่อเกิดทอง ทองก่อเกิดน้ำ การเลือกสีเสื้อผ้า สอนเรื่องสี จนเขารู้จะเลือกเสื้อผ้าสีอะไรในการแต่งตัว เช่น เขาเป็นคนที่ชอบธาตุดินและธาตุไฟ ก็จะเลือกเสื้อผ้าที่เป็นแดง ชมพู ม่วง
นอกจากนั้นก็เกี่ยวกับหยิน หยาง ช่วงไหนที่อากาศมีสภาวะเป็นหยางคือร้อน ควรจะรับประทานอาหารประเภทไหน เขาจะเลือกรับประทานเองได้ที่ถูกกับธาตุ เช่น ช่วงที่เป็นหยางสุงสุดเขาก็จะเลือกรับประทานอาหารที่เป็นหยินเพื่อปรับสมดุลร่างกาย หรือว่าถ้าช่วงหนาวเป็นหวัดง่ายความเย็นค่อนข้างสูงเขาก็จะรับประทานอาหารที่เป็นหยางคือมีความร้อนเพื่อปรับสมดุล”
ซินแสของขวัญเล่าอีกว่า ในการเรียนรู้ต่างๆ พัฒนาการของน้องถือว่าค่อนข้างเร็ว เวลาที่เขาพูดอะไรออกไปก็ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ อันนี้จะเห็นชัดมากตั้งแต่เด็กถ้าเทียบกับเพื่อนในวัยเดียวกัน ถือว่ารู้เรื่องหลายอย่างที่เด็กคนอื่นไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาสนใจพิเศษการรักษาสุขภาพแบบภูมิปัญญาจีน โดยเขาสามารถใช้ การกดจุดแก้โรค แก้ปวด แก้ไข้ มาใช้รักษาหรือบำบัดได้ด้วย
ปัจจุบัน แม้ปิ๊งปิ๊งจะยังไม่เป็นซินแสเต็มตัว แต่เธอก็เรียกตัวเองว่าเป็นซินแสน้อยไปแล้ว และก็เชื่อมั่นว่าอนาคตหนูน้อยคนนี้จะต้องเป็นซินแสที่มีชื่อเสียงตามคุณพ่อคุณแม่ และอาจารย์ปู่อย่างซินแสไฮเทคอย่างแน่นอน
พิ้งกี้ ‘เรียนเพื่อปรับใช้ในการดำเนินชีวิต’
ขณะที่ นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท “พิ้งกี้อภิชญา เตชะจินสิน” ลูกสาวคนโตของซินแส “วไลพร” ศิษย์อาจารย์มาศอีกคนที่สนใจศาสตร์หมอดูจีน โดยสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นให้เธอต้องหันมาเรียนศาสตร์ด้านนี้ ก็คือคุณแม่ซึ่งเป็นซินแส โดยบ่อยครั้งได้เข้าไปสัมผัสการทำงานก็ทำให้ได้รู้อะไรมากมาย จนทำให้เกิดความอยากเรียนจึงได้ไปสมัครเรียนกับทางอาจารย์มาศเมื่อปีที่แล้ว
“หนูเรียนหมดเลยทั้งดวงจีน ฮวงจุ้ย ฤกษ์ยาม โหงวเฮ้ง และศาสตร์ทางด้านสุขภาพแผนจีน ถ้าถามว่าชอบอันไหนบ้างก็คงเป็นดวงจีน แต่ถ้าชอบมากที่สุดก็ต้องอันสุดท้ายนี่แหละค่ะ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่หนูตั้งใจจะไปเรียนต่อที่ประเทศจีนด้วย ในระดับปริญญาตรีหลังจากจบ ม.6 แล้ว เพราะหนูสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพที่ไม่ต้องใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษา”
แม้จะชอบการแพทย์แผนจีน แต่ทุกอย่างที่เรียนมาก็ใช่ว่าพิ้งกี้จะไม่ให้ความสำคัญ ทุกวันนี้เธอยังฝึกฝนอยู่ตลอดด้วยการดูดวงของเพื่อนๆ ที่โรงเรียน และดวงของดารา เพราะสิ่งที่เรียนมาทุกศาสตร์ ล้วนมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการแพทย์แผนจีน ที่เธอตั้งใจจะไปเรียนต่อ
“ทุกวันนี้หนูดูได้ แต่ยังไม่เชี่ยวชาญนัก จึงยังฝึกฝนดูอยู่ตลอดค่ะ ซึ่งก็มีเพื่อนๆ ที่โรงเรียนให้ดู นอกจากนั้นก็หนูเอาดวงดาราคนดังมาดูโดยจะมีคุณแม่ช่วยชี้แนะใกล้ๆ ถ้าเกิดความสงสัยก็จะถาม และถ้าไปเมืองจีนก็จะเรียนศาสตร์เหล่านี้กับอาจารย์ที่โน่นด้วย”
พิ้งกี้ทิ้งท้ายว่า ทุกศาสตร์ที่เธอเรียนได้ถูกนำมาใช้ในการเรียนและการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี ซึ่งเธอรู้สึกได้
น้องทรัพย์ ‘ผมอยากเป็นนักพยากรณ์ไพยิปซีที่เก่งๆ’
ปิดท้ายที่ น้องทรัพย์ ด.ช.รุ่งรดิศ อ่อนตีบ วัย 8 ขวบจากโรงเรียนสิรเทพ ย่านลาดพร้าว ศิษย์รักของ อาจารย์สิน มีสัตย์ อาจารย์ประจำสมาคมโหราศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่ฝันอยากจะเป็นนักพยากรณ์ไพ่ยิปซีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองไทย เล่าถึงการมาเรียนไพ่ยิปซีว่าเพราะเห็นแม่ดูไพ่ยิปซีกับหมอแล้วเกิดความอยากรู้อยากเรียน
“ผมไม่รู้เกี่ยวกับไพ่ยิปซีมาก่อน แต่วันหนึ่งเห็นแม่ไปดูไพ่ยิปซี ผมนั่งฟังอยู่ด้วยก็เกิดชอบขึ้นมาเลยอยากเรียน จึงมาสมัครที่สมาคมโหรแห่งประเทศไทยกับคุณแม่ โดยคุณแม่เรียนเกี่ยวกับลายมือเป็นหลักสูตรสามเดือน


