posttoday

"ฟังเสียงร้องด้วยหัวใจ"3โค้ชเดอะวอยซ์คิดส์

08 พฤษภาคม 2556

เปิดใจ "ปาน-ตู่-ซานิ" 3โค้ชเดอะ วอยซ์ คิดส์ ไทยแลนด์ ที่พูดตรงกันว่าขอฟังเสียร้องของน้องๆด้วยหัวใจ

เรื่อง : ตุลย์ จตุรภัทร / ภาพ : ทวีชัย ธวัชปกรณ์

ออนแอร์เทปแรกไปแล้วเมื่อเสาร์ที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา กับรายการระดับโลกอย่าง “The Voice Kids Thailand” รายการที่ใครหลายคนต่างเฝ้าดูว่าความสนุกสนานและความเข้มข้นของรายการจะเทียบเท่ากับเดอะ วอยซ์ ต้นแบบหรือเปล่า

เราๆ ท่านๆ คงได้เห็นถึงความสดใสและความสามารถของเด็กไทยที่มีอายุ 7-14 ปี ที่ตบเท้ากันขึ้นเวที ปล่อยของดีทั้งลีลา น้ำเสียง และท่าทางแบบไม่มีกั๊ก จนสะกดทั้งคนดูและ 3 โค้ช ไม่ว่าจะเป็นสาวเหนือเสียงมีพาวเวอร์อย่าง “น้องกันต์” วัย 14 ปี กับเพลง You And I หรือโชว์แบบจัดเต็ม ที่ไม่ได้แค่ร้องแต่ยังโชว์เดี่ยวเปียโนจากเพลง Still Loving You จากหนูน้อยจินนี่ วัย 8 ขวบ ซึ่งทั้งสามโค้ชโดนใจตั้งแต่ได้ยินเสียง จนเกิดอาการพร้อมใจกันกดปุ่ม I Want You และหันเก้าอี้กันพรึ่บ หลังจากเริ่มร้องไปได้ไม่ถึง 10 วินาที เรียกได้ว่าทั้งน้องกันต์และหนูน้อยจินนี่สร้างปรากฏการณ์ “เสียงจริง ตัวจริง” กันตั้งแต่เทปแรกที่ออนแอร์กันเลยทีเดียว (เทปที่สองก็จะออนแอร์เย็นวันนี้ด้วย)

ว่าแต่พูดถึง 3 โค้ช เดอะ วอยซ์ คิดส์ อย่าง “โค้ชปาน-โค้ชตู่-โค้ชซานิ” กันไปแล้ว จะไม่จับเข่าคุยกันใกล้ชิดสนิทสนมก็กระไรอยู่ งานนี้โพสต์ทูเดย์ได้รับเกียรติจากทางรายการให้สัมภาษณ์ 3 โค้ชแบบเอกซ์คลูซีฟสุดๆ เราเลยไม่รอช้า พา 3 โค้ชมาเปิดอกถึงความรู้สึกกันแบบลึกสุดใจ ซึ่งทั้งสามบอกกับเราว่า “เราฟังเสียงร้องด้วยหัวใจ และพร้อมยอมรับคำด่าจากคนไทยทั้งประเทศ”

‘เชื่อมั่นในเด็กที่ไม่ได้ถูกเลือก’ โค้ชปาน ธนพร

จากเด็กผู้หญิงที่เริ่มต้นร้องเพลงลูกทุ่ง สู่การประกวดร้องเพลงทั้งเวทีเล็กหรือใหญ่ จนมาเป็นนักร้องคอรัส ร้องเพลงประกอบละคร ประกอบรายการ ไตเติ้ลรายการ และร้องไกด์ให้กับศิลปินดังๆ มากมาย อีกทั้งยังเป็นครูสอนร้องเพลงอีกด้วย

เห็นไหมว่า ก้าวเดินของ “ปาน-ธนพร แวกประยูร” กว่าจะได้เป็นนักร้องอาชีพ มีผลงานเพลงเป็นของตัวเอง ไม่ง่ายเลย และยิ่งยากเข้าไปใหญ่เมื่อต้องรักษาชื่อเสียงที่มีให้ยาวนานได้มากที่สุด

“สำหรับการประกวดร้องเพลงของเรา ป.1 ก็ขึ้นประกวดแล้ว (หัวเราะ) พ่อแม่ก็ไม่ได้กดดันว่าต้องชนะนะ แต่จะเน้นไปที่ประกวดแบบสนุกๆ มากกว่า แต่พอมานึกย้อนดูในวันนี้ เราว่าเราไม่ชอบการประกวดแบบสมัยก่อนนะ เพราะว่ามันไม่ได้ตัดสินอะไรเลย การประกวดแบบสมัยก่อน ใครเก่งสุดและสมาธิดีสุดบนเวที ณ เวลานั้น ก็ชนะไป แต่ชนะเวทีนี้แล้วอาจไปแพ้คนที่แพ้ ณ อีกเวทีหนึ่งก็ได้ มันเลยวัดอะไรไม่ได้มาก”

เมื่อมองย้อนกลับมาที่เวทีการประกวด “เดอะ วอยซ์ คิดส์ ไทยแลนด์” ในฐานะโค้ช ธนพรให้ความเห็นว่า เวทีนี้เป็นเวทีที่แฟร์ทั้งสองฝ่าย ทั้งเด็กที่เข้ามาประกวดและก็โค้ชด้วย

“เพราะไม่มีใครเห็นใคร เด็กร้องตามที่ตัวเองฝึกฝนมา โค้ชก็ฟังจากเสียงและจับสัญญาณอะไรบางอย่างด้วยหัวใจ ตรงนี้นี่แหละที่เราถูกใจ มันแฟร์ดี ซึ่งถ้าต้องไปตัดสินใครสักคนในรายการหนึ่ง คิดว่ารายการนี้น่าจะถูกใจตัวเอง ถามว่ากดดันไหม กดดันโคตรๆ ถึงบอกว่าถ้าเรารับทำแล้ว เราก็พร้อมรับผิดชอบกับผลที่จะตามมาด้วย”

ผลที่จะตามมาในความหมายของธนพร คงหมายถึงการตัดสินที่ไม่ถูกใจคนดู หรือสร้างความเสียใจให้กับเด็กที่เข้ามาประกวด ตรงที่ว่าร้องดีแต่ทำไมโค้ชไม่เลือก ซึ่งในฐานะคนดูเราคงต้องติดตามกันต่อไป

“แต่ยังไงเราก็อยากให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ แบบที่ว่าด่าโค้ช แต่ผลที่ดีมันตกไปอยู่กับตัวเด็กที่ไม่ได้ถูกเลือก เพราะเราเชื่อมั่นว่าจะมีคนเห็นความสามารถของเด็กที่ไม่ได้ถูกเลือก และเอาไปทำอะไรสักอย่างที่ดีกับตัวเด็กอย่างแน่นอน”

"ฟังเสียงร้องด้วยหัวใจ"3โค้ชเดอะวอยซ์คิดส์

‘โค้ชอาจเลือกผิด แต่คนเก่งย่อมมีคนเห็น’ โค้ชตู่ ภพธร

จากเด็กชายที่เริ่มต้นเรียนพื้นฐานดนตรีและคีย์บอร์ดตอนอายุ 5 ขวบ จากนั้นก็ฝึกร้องเพลงด้วยตัวเอง จนกระทั่งไปอยู่สหรัฐอเมริกาตอนอายุ 14 ปี เรียนที่นั่นจนจบปริญญาตรี และร้องเพลงที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง จวบจนมีคนแนะนำให้รู้จักกับ บอย โกสิยพงษ์ และได้โอกาสให้มาเป็นนักร้องแบ็กอัพ และมีผลงานเพลงเป็นของตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้

ชีวิตของ “ตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ” อาจไม่เคยได้ข้องแวะกับเวทีการประกวดร้องเพลง ด้วยความเขิน บวกกับความเกร็งเวที แต่เขาก็เป็นเด็กที่ร้องเพลงด้วยความสุขมาโดยตลอด

“ผมเป็นคนที่ร้องเพลงด้วยความสุขครับ ร้องออกมาจากใจ และก็เป็นคนที่ฟังเพลงค่อนข้างเยอะ ว่าอะไรเพราะ อะไรใช่ ตรงนี้น่าจะเอามาปรับปรุงกับเวทีการประกวดนี้ได้”

เมื่อต้องอยู่ในสถานะคนที่ต้องเล่นกับความรู้สึกของเด็ก ทั้งสามโค้ชก็ได้เข้ารับการฝึกอบรมด้านจิตวิทยาเด็ก กับคุณหมอด้านจิตวิทยา โค้ชตู่บอกเล่าว่า การเข้ารับการฝึกอบรมนี้ มีความสำคัญมาก

“พอได้รับการฝึกอบรม ก็ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่า อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด คำพูดไหนเสียดแทงใจก็ไม่ควรพูด”

โค้ชตู่ เผยว่า สิ่งที่ตนเองก็เพิ่งรู้จากการเข้ารับการฝึกอบรม นั่นก็คือไม่ควรบอกเด็กว่า “ไม่เป็นไรนะ” หรือ “ไม่ต้องเสียใจ” เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เด็กรู้สึกเสียใจกับความพ่ายแพ้มากขึ้นไปอีก

“ถามว่ามีเผลอหลุดคำพูดแบบนี้ไปบ้างมั้ย มีเหมือนกันครับ แต่ผมมองว่าเด็กจะได้เรียนรู้ แข็งแกร่งขึ้น และถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ คุณจะได้ประโยชน์ คือคอมเมนต์ของเราต้องสร้างประโยชน์ให้เขา แล้วเขาสามารถพัฒนาต่อยอดได้ต่อจากตรงนี้ ผมว่าสาระสำคัญอยู่ตรงที่ต่างคนต่างได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน โค้ชได้เรียนรู้จากเด็ก เด็กก็ได้เรียนรู้จากโค้ช”

โค้ชตู่ เปิดใจว่า เวทีนี้เป็นเวทีที่ฝึกความแม่นยำของโค้ชได้มากถึงมากที่สุด

“เราไม่ได้มีเวลาคิดไตร่ตรองได้แบบนานๆ ไง เลยทำให้เราฝึกความแม่นยำของเราไปในตัว ซึ่งผมมองว่ามันท้าทายทักษะที่เรามีมาทั้งชีวิต ท้าทายตรงที่เราจะตัดสินหรือเลือกคนคนหนึ่งด้วยทักษะที่เรามี มันใช่หรือเปล่า มันถูกหรือเปล่า ซึ่งโค้ชไม่ได้ถูกทั้งหมด อาจจะเลือกผิดก็ได้ มันมีแบบนั้นให้เห็นแน่นอนใน 9 เทป และจะมีเสียงตามมาว่า เฮ้ย ทำไมโค้ชไม่เลือก ทำไมไม่กด แต่นั่นก็ทำให้คนดูเห็นว่าทักษะของโค้ชอาจจะผิดก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คนเก่งย่อมมีคนเห็น ผมเชื่ออย่างนั้น”

‘เรากำลังตามหาความเป็นธรรมชาติไม่ใช่เทคนิค’ โค้ชซานิ นิภาภรณ์

จากลูกสาวคนเดียวของครอบครัวที่เรียนจบเอกภาษาไทย และมีประสบการณ์การร้องเพลงกลางคืนมาอย่างโชกโชน จนได้เป็นแชมป์หญิงคนแรกของทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่นที่ 6 ด้วยความสามารถด้านการร้องเพลงที่เป็นธรรมชาติ บวกกับการพูดภาษาไทยที่ชัดถ้อยชัดคำ รวมทั้งเสน่ห์เฉพาะตัวเวลาที่อยู่บนเวที ทำให้ “ซานิ-นิภาภรณ์ ฐิติธนการ” เหมาะสมกับการเป็นโค้ชในรายการนี้ด้วยประการทั้งปวง

“ซานิเชื่อในความเป็นธรรมชาติของคน การได้มาเป็นโค้ชในรายการนี้ ทำให้เรารู้ได้เลยว่าเด็กคนนี้เรียนร้องเพลงหรือไม่ได้เรียน ที่รู้เพราะเราเองก็ไม่ได้เรียน แต่เราเป็นคนร้องเพลงที่ออกมาจากใจ เวลาฟัง เราเลยฟังด้วยใจ พอฟังด้วยใจ เราจะจับเสียงได้ว่าคนนี้มีหรือไม่มีเทคนิคการร้องเพลง”

นิภาภรณ์ เผยว่า เวลาฟังเสียงร้องของเด็ก เธอจะเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง เพื่อช่วยในการตัดสินใจว่าตนเองจะเลือกหรือไม่เลือก

“ซานิเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักว่าเด็กคนนี้ใช่หรือไม่ใช่ ถ้าเขาไม่ได้มีพื้นฐานมากมาย แต่เขาใช่ เราเอาเขามาเพิ่มเติมได้ แต่ขอให้เป็นธรรมชาติ เพราะความเป็นธรรมชาติเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้ แต่เทคนิคการร้องเพลงสอนกันง่าย ความเป็นธรรมชาติมันขาดหายไปจากสังคมไทยนานแล้ว เราอยู่กับการปรุงแต่งเยอะ เสียงต้องอย่างนั้นอย่างนี้ จนเราลืมอะไรบางอย่าง นั่นคือความเป็นธรรมชาติ ซึ่งวันนี้เรากำลังตามหาสิ่งนั้น อย่าลืมว่าการร้องเพลงคือการสื่อสารที่มาจากข้างใน เทคนิคมากไปก็ไม่ใช่ ทำอะไรที่ไม่เป็นธรรมชาติ คนฟังรู้สึกและสัมผัสได้”

************************

รายการเดอะ วอยซ์ คิดส์ เป็นรายการทีวีสัญชาติฮอลแลนด์ ที่เกิดขึ้นหลังจากรายการเดอะ วอยซ์ ออฟ ฮอลแลนด์ ประสบความสำเร็จและโด่งดังไปทั่วโลก โดยเดอะ วอยซ์ คิดส์ ริเริ่มโดย “John de Mol” ที่ต้องการให้เวทีนี้เป็นเวทีการประกวดที่ให้เด็กได้โชว์ความสามารถด้านการร้องเพลง เริ่มออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2555 สำหรับประเทศไทย ถือเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้รับลิขสิทธิ์ผลิตรายการพร้อมกับประเทศสหรัฐอเมริกา

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมซีเกมส์ 2025 วันนี้ 15 ธ.ค. 68 ลิ้งก์ดูสด ถ่ายทอดสดช่องไหน