นพ.นิรันดร์ วิชเศรษฐสมิต หมอในสมรภูมิภาคใต้ ‘เสื้อเกราะไม่มีความหมายสำหรับผม...’
ชีวิตของ นพ.นิรันดร์ วิชเศรษฐสมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมายอ จ.ปัตตานี เจ้าของรางวัล กนกศักดิ์ พูลเกษร
โดย...สุภชาติ เล็บนาค
ชีวิตของ นพ.นิรันดร์ วิชเศรษฐสมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมายอ จ.ปัตตานี เจ้าของรางวัล กนกศักดิ์ พูลเกษร หรือแพทย์ชนบทดีเด่น ปี 2555 จากมูลนิธิแพทย์ชนบท ดูจะแตกต่างจากแพทย์คนอื่น เพราะท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงอันร้อนระอุในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาเป็นแพทย์คนเดียวที่นับถือศาสนาพุทธ และเลือกที่จะอยู่ท่ามกลางสมรภูมิสงคราม เหตุผลหนึ่ง คือ เบื่อรถติดในกรุงเทพฯ และต้องการอยู่กับบรรยากาศที่เขาชอบ คือ อยู่ใกล้น้ำ!
เดิมคุณหมอนิรันดร์ เป็นคน จ.นนทบุรี เติบโตและเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร ทว่าชีวิตกลับผกผัน เพราะในช่วงที่เรียนคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เกิดประทับใจในบรรยากาศของการออกหน่วย และเป็นแพทย์อยู่ในชนบท ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าถึงเวลาที่จะต้องออกจากพื้นที่เดิมของตัวเอง เพื่อไปเปิดประสบการณ์ใหม่ในพื้นที่ที่เขาไม่รู้จัก และจะทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้มากกว่า
“ตอนแรกไม่คิดว่าจะเลือกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามจังหวัดเป็นอย่างไร แต่รู้ว่าอยากออกข้างนอกแล้ว เพราะพอไปเที่ยว ไปออกหน่วยก็ชอบ เราคิดว่า 3 ปีที่ต้องใช้ทุน ยังไงก็ต้องใช้ชีวิตที่ รพ.อำเภอ พอปีห้าปีหกก็หาข้อมูลว่าจะไปอยู่ที่ไหน ตอนนั้นเจาะจงเลยว่า ถ้าไม่ไปโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ (เชียงราย) ก็ต้องไปที่ รพช.ปากชม จ.เลย หรือไม่ก็ รพช.สิเกา จ.ตรัง เพราะผมชอบน้ำ เชียงของ ปากชมก็น้ำโขง ส่วนสิเกาก็ใกล้ทะเล เห็นเป็นอำเภอ ติดน้ำก็เอาหมด” นพ.นิรันดร์ ย้อนอดีตให้ฟังถึงตอนเลือกโรงพยาบาลสำหรับใช้ทุนเมื่อปี 2537
ทว่า ก่อนที่จะจับสลากใช้ทุนไม่กี่วัน ก็มีรุ่นพี่จาก รพช.สายบุรี จ.ปัตตานี มาเชียร์ให้เลือกไปใช้ทุนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในช่วงนั้น ทั้งการเผาโรงเรียน ยิงรางรถไฟ ทำให้แพทย์เริ่มขาดแคลน เลยชวนไปอยู่ด้วยกัน
“เขาก็ชวนว่าถ้าไปอยู่ที่ปัตตานี จะชวนไปเที่ยวมาเลเซีย ส่วนของติดบ้านพักแพทย์อย่างโต๊ะ พัดลม เตียง เขาก็จะหาให้ ไม่ต้องหาเอง เราก็เลือกไป ทั้งที่ไม่รู้จักสามจังหวัด ปรากฏว่าสุดท้ายก็ต้องหาของเองหมด เพราะกว่าพี่เขาจะเอามาให้ก็ต้องรอถึงสิ้นปี มาเลเซียสุดท้ายก็ไม่ได้ไป เพราะงานยุ่งมาก” หมอนิรันดร์ เล่าพลางหัวเราะ
ปีแรกของการทำงานใช้ทุน คุณหมอนิรันดร์ จึงรับตำแหน่งเป็นทั้งแพทย์และรักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลปะนาเระ จ.ปัตตานี ไปโดยปริยาย
“พอไปถึงก็พบว่า อ.ปะนาเระ นั้นน่าอยู่จริงๆ เพราะ 1.ติดทะเลอย่างที่เราฝัน 2.มีอะไรให้เราทำเยอะมาก เนื่องจากหมอไปอยู่น้อย เราก็ต้องเริ่มใหม่หมด ทั้งการวางระบบ หรือการดูแลโรงพยาบาล ซึ่งต่างโดยสิ้นเชิงกับตอนเราเรียน เพราะตอนนั้นเป็นแค่แพทย์ฝึกหัดทั่วไป แต่พอเข้ามาทำงานที่นี่ เราได้รับการยอมรับ อยากทำอะไรก็มีคนช่วยเราทำ ตอนนั้นเราก็รู้สึกภูมิใจว่าเราทำได้”
แต่ชีวิตของเขาก็พลิกผัน เมื่อครบกำหนดใช้ทุน 3 ปี และกำลังตัดสินใจไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางที่กรุงเทพฯ ในปี 2540 แพทย์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงขาดแคลนอย่างหนัก ประจวบเหมาะพอดีกับโรงพยาบาลอำเภอตั้งแต่ อ.มายอ อ.แม่ลาน และ อ.กะพ้อ ล้วนขาดหมอพร้อมกันทั้งหมด นพ.นิรันดร์ จึงตัดสินใจไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลมายอ เพื่อบรรเทาวิกฤตนั้น
“ปะนาเระมีหมอมาทำแล้ว แต่กลายว่าอีก 4 อำเภอไม่มีหมอเลย เพราะทุกคนที่มาใช้ทุนตอนแรก ไปเรียนต่อกันหมด เราก็เลยคิดจะไปอยู่ที่ รพช.มายอ เพื่อจะได้ช่วยรักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุ่งยางแดงไปด้วย แต่กลายเป็นว่าช่วง 12 ปีแรก พออยู่ครั้งนี้แล้วก็ติดพันออกไปไม่ได้ พอปี 2544 เราก็ช่วยขยายเตียงจาก 10 เตียง เป็น 30 เตียง ก็ต้องหาบุคลากร หาเครื่องมือเครื่องไม้มาลงเพิ่ม พอปี 2545 2546 เริ่มโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กลายเป็นว่าหมอลาออกอย่างหนักเลย เราก็เลยคิดว่าเราจะอยู่ต่อ พอปี 2547 สถานการณ์ความไม่สงบเริ่มขึ้น ตอนแรกที่บ้านก็กังวลใจ ไม่อยากให้อยู่ แต่เรารู้สึกว่ายิ่งสถานการณ์เป็นอย่างนี้ เมื่อเราอยู่เราทำสามารถทำประโยชน์ได้ เราก็ตัดสินใจอยู่ต่อ”
คุณหมอนิรันดร์ บอกว่า ยิ่งอยู่ไปก็ยิ่งเข้าใจว่าถึงอย่างไรปากกระบอกปืนก็ไม่หันมาหาเขาแน่นอน เพราะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมักจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับอำนาจรัฐหรือความมั่นคง แต่บุคลากรสาธารณสุขกับสุขภาพ ไม่มีอะไรขัดกับผู้ก่อความไม่สงบเลย เพราะความสัมพันธ์คือมนุษย์กับมนุษย์ หลายๆ คนมีญาติเป็นผู้ก่อความไม่สงบ ก็ยังอยู่กับโรงพยาบาล เพราะทั้งอำเภอมีโรงพยาบาลแค่แห่งเดียว หากแพทย์ได้รับการยอมรับ เวลาเข้าพื้นที่ก็ไม่ต้องกังวลอะไร
“หลังเหตุการณ์ความไม่สงบเริ่มขึ้น โรงพยาบาลมายอมีพัฒนาการหลายอย่างที่ดีขึ้น เช่น เรื่องจิตสำนึกการบริการไม่มีปัญหาเลย ทุกคนยินดีให้บริการ (หัวเราะ) ชาวบ้านเข้ามา เราจะยิ้มกันทันที และต้อนรับทุกคน 2.พวกเรารักกันเองมากขึ้น เมื่อไรที่มีการทำร้ายคนใกล้ตัว เราก็จะช่วยดูแลกันมากขึ้น ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ เราคิดเพียงว่าต้องป้องกันความขัดแย้งในระบบสุขภาพให้เหลือน้อยที่สุด ขณะเดียวกัน เวลาทำอะไรเราคิดมากขึ้น รักสันติวิธีมากขึ้น”
จนถึงตอนนี้ เขายอมรับว่าไม่เคยสวมเสื้อเกราะ และไม่เคยพกปืน เพราะรู้ตัวดีว่าแม้จะมีทั้งสองอย่าง แต่เมื่อถูกยิงก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่ดี เพราะยิงปืนไม่เป็น ส่วนเสื้อเกราะนั้นป้องกันไม่ได้แน่นอน เพราะพื้นที่ของ นพ.นิรันดร์ นั้น หากยิงก็ยิงเข้ากลางศีรษะ หรือใช้ระเบิดสังหาร ชุดเกราะจึงไม่มีความหมายอะไร
“แต่ผมมีเกราะป้องกันตัวเองอยู่ 2 อัน คือ 1.ดูว่าอะไรที่เป็นเงื่อนไขที่เขาทำร้ายเรา เช่น ถ้าเราเป็นคนไม่ดี พูดไม่ดี ให้บริการไม่ดี เราก็อาจเป็นเป้า แต่ถ้าเราตั้งใจทำหน้าที่ของเราด้วยการบริการอย่างดี มันเป็นเกราะที่ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อเกราะเลย 2.ก่อนหน้านี้ผมอาจจะชอบขี่จักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์ เข้าไปออกกำลังกายหรือท่องเที่ยวต่างอำเภอ ก็ต้องลดลง เปลี่ยนเป็นกิจกรรมอย่างพักผ่อน อ่านหนังสือ ก็ปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องออกไปไหน อ่านเมื่อไรก็ได้ความรู้เอาไปรักษาคนมากขึ้น เอาไปบริหารโรงพยาบาลได้ดีขึ้น หนังสือก็กลายเป็นเกราะที่ดีอีกอย่างหนึ่ง” นพ.นิรันดร์ กล่าวอย่างอารมณ์ดี
นอกจากปัญหาเรื่องความรุนแรงของสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว โรงพยาบาลแห่งนี้ก็ยังพบปัญหาเรื่องงบประมาณ บุคลากร และองค์ความรู้ เช่นเดียวกับโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ
“อยู่ที่นี่ เรื่องงบประมาณเราก็ไม่กล้าลงทุนทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะอยู่ไกล พอขาดทุนเดี๋ยวไม่มีใครช่วย หรืออย่างเรื่ององค์ความรู้ เราอยากให้บุคลากรเราเก่งๆ ได้รับการอบรม ผมอยากเชิญวิทยากรมาอบรม ให้มาเขาก็ไม่เอา หรือจะส่งคนไป ค่าเครื่องบิน ค่ารถไฟ มันก็ไกลมาก ถ้าอยู่ใกล้กว่านี้เราคงมีโอกาสในการเข้าใจอะไรมากกว่านี้ แต่เราก็พยายามอ่านหนังสือ ถ่ายทอดความรู้ไปให้ได้มากที่สุด”
ส่วนวิธีบรรเทาสถานการณ์ความรุนแรงนั้น คุณหมอนิรันดร์ แนะนำว่า เจ้าหน้าที่รัฐหน่วยใดก็ตาม หากจะมาอยู่ในพื้นที่นี้ และได้รับการยอมรับ จะต้องเข้าใจวัฒนธรรมและศาสนาอิสลามให้ได้ หากยังตั้งคำถามและแยกพรรคพวก ส่งใครลงไปก็ยิ่งมีปัญหา แต่ถ้าเข้าใจว่าฐานความคิดเป็นอย่างไร ก็แก้ปัญหาได้ทั้งหมด
“หากเราเข้าใจสิ่งที่เขาคิด นับถือ และศรัทธา เขาก็เข้าใจสิ่งที่เราคิด นับถือ และศรัทธา เช่นเดียวกัน”
“ผมไม่เคยคิดจะออก แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดไป วันหนึ่งอาจจะมีใครเอาผมออก หรือมีเหตุผลให้ผมต้องไปทำที่อื่นก็เป็นได้ ขออย่างเดียว อย่าไปอยู่ใน กทม. หาดใหญ่ หรืออำเภอเมืองของทุกจังหวัด เพราะเบื่อคนเยอะ รถติด ถ้าจะไปขอไปอำเภอขอบๆ โล่งๆ ว่างๆ เพราะมีอะไรให้เราทำเยอะ แต่ถ้าวันไหนกรุงเทพฯ รถไม่ติดแล้วค่อยเรียกผมกลับไปก็แล้วกัน” คุณหมออารมณ์ดีกล่าว
นพ.นิรันดร์ บอกว่า บางทีการสร้างแนวคิดและระบบการบริหารงานแบบนี้ อาจเป็นวิธีการทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดให้ผ่อนคลายลง และทำให้คนที่อยู่ในโรงพยาบาล มีอย่างอื่นให้คิด นอกเหนือจากความกลัวเพียงอย่างเดียว ผ่านการเปลี่ยนความกลัว มาเป็นความตั้งใจในการบริหารโรงพยาบาลร่วมกันด้วยรอยยิ้ม ซึ่งจะผลักต่อให้พลังในการจัดการด้านสาธารณสุขที่ อ.มายอ สมบูรณ์มากขึ้น จนได้สร้างคนอีกกลุ่มหนึ่ง ภายในโรงพยาบาลที่รักในสันติภาพ และมีแนวคิดเรื่องสันติสุขในตัวเอง ขณะเดียวกันก็พร้อมจะส่งต่อแนวคิดเหล่านี้ออกไปยังชุมชนโดยรอบ ให้มีแนวคิดที่รักในสันติแบบเดียวกันต่อไป


