เส้าหลินเมืองไทยตอบโจทย์ปัญหายาเสพติดได้หรือไม่
ข่าวการ “วิสามัญฆาตกรรม” “ชาวเขา” ที่กำลังลำเลียงยาเสพติดเข้ามา
โดย...จำลอง บุญสอง
ข่าวการ “วิสามัญฆาตกรรม” “ชาวเขา” ที่กำลังลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทย มีให้ฟังได้บ่อยครั้งทั้งรัฐบาลนี้และรัฐบาลในอดีต เพราะนอกจากจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยการฆ่าแล้ว ยังเป็น “วิธีการ” “หาเสียง” ของรัฐบาลและการสร้างผลงานของหน่วยปราบปรามอีกด้วย
แต่ถึงจะมีการวิสามัญ จับผู้ค้าผู้ขนทั้งรายเล็ก รายใหญ่ได้มากในแต่ละปี แต่คำตอบสุดท้ายกลับกลายเป็นว่า “คนติด” “คนค้า” ในประเทศเรากลับสูงขึ้นติดอันดับโลก (สถิติคนติดคุกเพราะยาเสพติดในไทยได้ที่กรมราชทัณฑ์) สะท้อนว่ามรรควิธีปราบปราม จับกุม หรือแม้แต่การเข้าไปพัฒนาพื้นที่สุ่มเสี่ยงเพื่อตัดวงจรยาเสพติด
ไม่ตอบโจทย์!
ที่ไม่ตอบโจทย์เพราะผู้ตอบปัญหาเข้าใจผิดไม่คิดว่าโจทย์ปัญหายาเสพติดคือปัญหา “การปกครอง”
การปกครองของชาติที่ทำให้การแบ่งปันรายได้แห่งชาติเป็นไปอย่างไม่เป็นธรรม ส่งผลทำให้ “ช่องว่าง” ระหว่าง “ความรวย ความจน” ของคนในชาติ “ห่างกันสุดกู่” ช่องว่างดังกล่าวนอกจากจะทำให้เกิดการกดขี่ขูดรีดอย่างรุนแรงแล้ว ยัง “บ่มเพาะ” อาชญากรขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมือง จนทำให้คนจน “ล้นคุก” ในเวลานี้อีกด้วย
การจับคนมา “ขัง” ก็ดี การ “วิสามัญฆาตกรรม” “คนยากจน” เหล่านั้นก็ดี ผลที่ได้มาก็เป็นได้แค่เพียง “บรรเทาปัญหา” แต่ไม่ได้ “แก้ปัญหา” เหมือนการเอาหินมา “ทับหญ้า” เอาหินโยนลงไปในแหน พอหมดแรงกระเพื่อม แหนก็คืนกลับมาเหมือนเดิม นั่นเป็นปัจจัยภายในของประเทศเรา ส่วนปัจจัยภายนอกนั้น “เจ้ายอดศึก” ผู้นำแห่งพรรคปฏิวัติไทยใหญ่ กล่าวว่า
“ที่ประเทศไทยมีปัญหายาเสพติดจากเมียนมาร์ ก็เพราะเมียนมาร์ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ถ้ารัฐบาลเมียนมาร์ยอมรับรูปการปกครองแบบ Federation หรือสหพันธรัฐแล้ว เมียนมาร์ก็จะหมด ‘เงื่อนไขสงคราม’ คือ ไม่มีสงครามในประเทศ ประเทศก็พัฒนา คนเมียนมาร์ก็ร่ำรวย ถ้าร่ำรวยแล้วก็จะไม่มีคนยากจนมา ‘รับจ้าง’ ‘ขนยาเสพติด’ ให้เจ้าหน้าที่ไทยยิงตายเล่นแน่ๆ”
วันนี้การปกครองไทย “ทอดทิ้ง” ทั้ง “ชาวเรา” และ “ชาวเขา” ผู้ยากจน ทั้งที่ “มีสัญชาติ” และ “ไร้สัญชาติ” กลายเป็นคน “ไร้ที่ดิน” เพราะที่ดินดั้งเดิมที่พวกเขาได้เคยอยู่เคยอาศัย (แม้จะผิดกฎหมาย) ถูก “นายทุน” ทั้งที่เป็นผู้ประกอบการรีสอร์ต นักการเมืองท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพลอำนาจมืด และพวกรุกป่าปลูกยาง “แย่ง” กันไปเข้าถือครองกันจนหมดสิ้น หลายหมู่บ้านใน จ.เชียงใหม่ เชียงราย กลายเป็นหมู่บ้านยากจนกว่าภาคอีสาน เด็กๆ ไม่จบ ป.6 คนในหมู่บ้านไร้ทั้ง “วุฒิภาวะ” “เงินทุน” และ “โนว์ฮาว” เหมือนคนกรุงในสลัมที่เดินเก็บของเก่าเพื่อยังชีพไปวันๆ ต่างแค่หมู่บ้านเหล่านั้นเป็น “สลัมลอยฟ้า” ไม่ได้เป็น “สลัมในน้ำครำ” เหมือนคนกรุงเท่านั้น เมื่อมีปัจจัยดังกล่าว จะไม่ให้ “คนยากไร้” เหล่านั้น “ไปรับจ้างกระทำผิดกฎหมาย” แทนนายทุนได้อย่างไร!
“พระขี่ม้า” เป็นฉายาของ “ครูบาเหนือชัย” แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำป่าอาชาทอง เป็นองค์กรหนึ่งที่ใช้การเทศนาให้ชาวเขาริมแดนตะวันตกด้าน จ.เชียงราย ลด ละ เลิก การเสพ การขาย และการผลิต เช่นเดียวกับดอยตุงและองค์กรอื่นๆ ที่หลากหลาย (ต่างที่ดอยตุงใช้วิธีการแก้ไขปัญหาปากท้องก่อน หลังจากนั้นก็สร้างโรงงานรองรับการทำงานของคนในกลุ่มเสี่ยง) แต่ผลสะท้อนที่มีคน ติดยา ค้ายา “ล้นคุก” ก็ตอบได้ว่า “ตอบโจทย์ผิด”
อดีตที่ผ่านมา “ดอยตุง” เคยใช้ “ดอยตุงโมเดล” รุกไปป้องกันปัญหา “นอกประเทศ” ด้วยการไปช่วยชนเผ่า “ว้า” ที่เคยมีชีวิตคลุกคลีกับฝิ่นบนดอยสูงในรัฐฉานมาทำการเกษตรที่ทันสมัยมาแล้ว แต่วันนี้ก็ยังตอบโจทย์การขนยาเสพติดข้ามชายแดนยังไม่ได้
ครูบาเหนือชัยเป็นคนพื้นถิ่นที่นี่ ท่านอาศัยความเป็นพระของท่านตระเวนไปตั้งสำนักสงฆ์แก้ไขปัญหายาเสพติดตามดงดอยต่างๆ มาหลายสิบปี การขี่ม้าบิณฑบาตไปตามดงดอยไปพร้อมๆ กับการเทศนาให้ลด ละ เลิก ยาเสพติดของท่านทำให้สื่อส่วนกลางเอามาเขียนเป็นสารคดี จนกระทั่งวัดของท่านกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Unseen เงินทองทยอยเข้ามาเพื่อให้แก้ไขปัญหามากมาย แต่ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายก็ “ไม่ตอบโจทย์” หลวงพ่อยืนดูนายทุน ผู้มีอิทธิพลอำนาจมืดเข้ามาครอบครองที่ดินอย่างร่ำรวย สวนทางกับความยากจนของชาวเขาที่บังคับให้คนเหล่านั้นกลายเป็นคนขน คนค้ายาเสพติดมากขึ้นๆ
วันนี้ท่านเลิกขี่ม้าในน้ำเพื่อให้ช่างภาพถ่ายภาพหาเงินเข้าวัดไป แต่ท่านก็ยังใช้วิธี “เสกเป่า” ให้ญาติโยมผู้มาเยือน (ไม่ต่างอะไรกับหลวงพ่อคูณ แห่งวัดบ้านไร่ หรือหลวงพ่อเปิ่น ที่สักแล้วเป่ากระหม่อมผู้คนเพื่อเอาเงินที่ได้มาสร้างโรงพยาบาลให้ประชาชน) เพื่อนำเงินที่ได้มาเตรียมซื้อ “ที่ดิน” ให้ชาวเขาผู้ยากไร้อยู่อาศัย เพาะเลี้ยงไก่ชนราคาดีเอาไว้แจกชาวบ้านที่จะเข้ามาร่วมในโครงการ นำเด็กกำพร้าทั้งชาวเขาและไม่ชาวเขา คนที่เคยติดคุกและเคยติดยา มาฝึกเป็นนักมวยเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม (ท่านเคยเป็นนักมวยมาก่อน การฝึกมวยของท่านนอกจากจะใช้เคล็ดลับการ “ไหว้ครูมวยไทย” ที่เยี่ยมยอดเพื่อการฝึกร่างกายให้แข็งแกร่งคล้ายๆ กับการร่ายรำของเส้าหลิน หรือการเล่นโยคะของอินเดีย หรือวิชาการย้ายเส้นเอ็นในหนังสือแปลของ น.นพรัตน์ หรือโกวเล้ง นั่นแหละ ลูกศิษย์ของท่านชกมวยทั้งลุมพินีและราชดำเนิน ได้เป็นแชมป์ไปแล้วก็มี แต่ทั้งหมดก็ยังต้องมายืนรำมวยไหว้ครูกับท่านเพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่ง ไม่น่าเชื่อว่าพระอายุ 50 อีกไม่นานก็ 60 ยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งเหมือนคนหนุ่มอายุ 20 ไม่เชื่อก็ไปดูด้วยตัวเอง)
แต่มรรคในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของท่านก็ไม่แตกต่างอะไรกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดของหน่วยงาน มูลนิธิอื่นๆ ที่ทำกันแบบ “กลไก” คือ ตรงไหนเสียก็ไป “ทำ” ไป “ป้องกัน” ที่ตรงนั้น (แบบจุลภาค) ทั้งๆ ที่ปัญหายาเสพติด หรือปัญหาอื่นๆ ของชาติล้วนมีปฐมเหตุมาจาก “อำนาจอธิปไตยคนส่วนน้อย” ไม่ว่าเหลืองหรือแดงที่เอื้อต่อคนมือยาว ไม่เอื้อต่อคนมือสั้นผู้ยากจนทั้งสิ้น
ในการแก้ไขปัญหาใดๆ “ครูบาเหนือชัย” เน้นนักเน้นหนาว่าต้อง “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” ท่านเองก็ทำให้ลูกศิษย์ดูเป็นตัวอย่างเสมอ ทว่ามรรควิธีของการแก้ไขปัญหาใดๆ ในโลกนี้ก็ล้วนแต่ต้องตั้งอยู่บน “สัมมาทิฐิ” เพราะถ้าตั้งอยู่บนมิจฉาทิฐิแล้ว ถึงจะพากเพียรแก้ไปจนตาย ใช้เงินไปกี่ล้านๆ ก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้
พระพุทธเจ้าท่านจึงยก “สัมมาทิฐิ” เอาไว้เป็นปฐมของมรรค (8)!
ท่านผู้อ่านท่านใดอยากไปเยือนวัดป่าอาชาทอง หรือต้องการช่วยซื้อที่ดินให้วัด เพื่อให้วัดได้นำไปพัฒนาและแจกจ่ายให้ชาวเขาผู้ยากไร้ เพื่อช่วยตัดวงจรอุบาทว์ของยาเสพติดก็ติดต่อได้ที่เบอร์ 087-177-6765 และเบอร์ 089-700-0927 ครับ!


