‘เรวัต พุทธินันทน์’ ผู้สร้างจุดเปลี่ยนของวงการเพลงไทย
โฆษณาของจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ภายใต้แคมเปญใหม่ที่ใช้ชื่อว่า
โดย...ตุลย์ จตุรภัทร
โฆษณาของจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ภายใต้แคมเปญใหม่ที่ใช้ชื่อว่า “Will You Keep Walking?” บอกเล่าเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจ ความคิด ความเชื่อ และความมุ่งมั่นของผู้สร้างจุดเปลี่ยนของวงการเพลงไทย นั่นคือผู้ชายมีหนวดที่ชื่อว่า “เต๋อเรวัต พุทธินันทน์” ในการก้าวเดินสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ และทำให้สิ่งที่เป็นเพียงความฝันกลายเป็นความจริงจนสำเร็จ
หลังจากดูโฆษณาชิ้นนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมถึงกับทึ่งแนวคิดและวิธีการจำลองตัวเรวัตขึ้นมาใหม่ เท่าที่รู้คือทีมงานได้ใช้เทคนิคการทำงานคอมพิวเตอร์กราฟฟิกทั้งแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ โดยเริ่มต้นตั้งแต่การศึกษาฟุตเทจภาพเก่าของเรวัต เพื่อจำลองโครงหน้าและผิวหน้าให้ออกมาใกล้เคียงกับตัวจริงมากที่สุด ผนวกกับการใช้นักแสดงที่เป็นคนจริงในการถ่ายทำ โดยใช้กล้องจับภาพการเคลื่อนไหวและการแสดงออกบนสีหน้าของนักแสดง และการสร้างซีจีโมเดลศีรษะของเรวัต ก่อนที่จะนำทั้งหมดมารวมกันเพื่อสร้างบุคลิกของเรวัตออกมาในภาพยนตร์โฆษณาชิ้นนี้ได้อย่างน่าเชื่อถือที่สุด
ทึ่งกับโฆษณาแล้ว ทำให้ผมอยาก “เล่าเรื่องราวดีๆ” ของผู้ชายมีหนวดคนนี้บ้าง เผื่อบางทีคุณ คุณ และก็คุณ อาจเกิดแรงบันดาลใจดีๆ ให้กับชีวิต จนคิดอยากจะทำความฝันให้กลายเป็นความจริง
จุดเริ่มต้นของ ‘เรวัต พุทธินันทน์’
เรวัตเกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ก.ย. พ.ศ. 2491 เขามีความสนใจในเรื่องดนตรีมาตั้งแต่ยังเด็ก และเริ่มหัดเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 11 ขวบ โดยเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่หัดเล่น คือ แซ็กโซโฟน ในช่วงที่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล เรวัตได้ตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ โดยใช้ชื่อวงว่า “Dark Eyes” เมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรวัตยังคงเล่นดนตรีอย่างต่อเนื่อง โดยก่อตั้งวงดนตรีชื่อ “Yellow Red” (สีประจำมหาวิทยาลัย) กับเพื่อนๆ โดยมีนักร้องนักดนตรีชื่อดังอย่าง “ดนู ฮันตระกูล” และ “จิรพรรณ อังศวานนท์” เป็นสมาชิกร่วมวงด้วย
หลังจบการศึกษา เรวัตได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมวง “ดิ อิมพอสซิเบิ้ล” ในตำแหน่งนักร้องนำและคีย์บอร์ด โดยได้ออกทัวร์ไปเล่นดนตรีในต่างประเทศหลายประเทศ โดยเฉพาะที่เมืองฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2520 เมื่อวง ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ตัดสินใจยุบวง เรวัตจึงตั้งวง “โอเรียนเต็ลฟังก์” เล่นดนตรีแนวฟังก์ร่วมกับวินัย พันธุรักษ์ โดยแสดงสดที่โรงแรมมณเฑียร พร้อมทั้งตระเวนไปเปิดการแสดงในต่างประเทศเป็นครั้งคราว ในช่วงนี้เองที่เรวัตเริ่มศึกษาเรื่องการเขียนเพลงและการทำดนตรีอย่างจริงจัง
จากนักดนตรีเป็นนักธุรกิจ
จากที่ได้ร่ำเรียนมาในสาขาเศรษฐศาสตร์ พร้อมทั้งมีประสบการณ์ในการเป็นนักร้องนักดนตรีอาชีพมานาน เรวัตได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ร่วมกับ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งการทำธุรกิจในครั้งนี้ เรวัตได้ผสมผสานความรู้ความสามารถทางธุรกิจและความคิดสร้างสรรค์ในฐานะนักดนตรี จนทำให้เขากลายเป็นนักดนตรี นักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์เพลง และผู้บริหารบริษัทที่สร้างสรรค์งานดนตรีให้กับวงการเพลงไทยนับตั้งแต่นั้นมา
ตำนานที่ยังเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้
ตำนานอันยิ่งใหญ่ที่เรวัตได้จารึกไว้ให้กับวงการเพลงของไทย นั่นคือการนำแนวเพลงสตริงร็อกมาใช้เป็นคนแรกจนเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งวางระบบการทำงานดนตรีและการสร้างศิลปินอย่างมีแบบแผนเป็นสากล นั่นคือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และการนำเสนอความสามารถอันโดดเด่นของศิลปินแต่ละคนให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้ชมและผู้ฟัง นอกจากจะช่วยสร้างความสำเร็จให้กับศิลปินของแกรมมี่แล้ว ยังเป็นการช่วยผลักดันให้อาชีพนักดนตรีเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
ผลงานการร้องนำ
เรวัตมีผลงานเพลงในฐานะนักร้องนำด้วยกันทั้งหมด 5 อัลบั้ม คือ เรามาร้องเพลงกัน (2525) ร่วมกับวงคีตกวี (อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ จิรพรรณ อังศวานนท์ สุรสีห์ อิทธิกุล กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา และอัสนี โชติกุล) และโรงเรียนดนตรีศศิลิยะ (เขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ และดนู ฮันตระกูล) เต๋อ 1 (2526) เต๋อ 2 (2528) เต๋อ 3 (2529) และชอบก็บอกชอบ (2530) มีเพลงฮิตที่ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงมาจนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น เจ้าสาวที่กลัวฝน ยิ่งสูงยิ่งหนาว ดอกไม้พลาสติก มันแปลกดีนะ คงมีสักวัน ฯลฯ ฃ
ชีวิตครอบครัว
เรวัต สมรสกับ อรุยา สิทธิประเสริฐ เพื่อนจาก คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2517 มีบุตรสาวสองคนคือ สุธาสินี และสิดารัศมิ์
นักบุกเบิก ผู้ไม่ยอมหยุดฝัน
เรวัตเป็นบุคคลที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของความเป็นผู้บุกเบิก เขากล้าที่จะเดินตามเสียงเรียกร้องของหัวใจด้วยการสร้างสรรค์งานเพลงที่แปลกและแตกต่างไปจากที่เคยมี ด้วยความเชื่อมั่นและความกล้าในการทำตามฝันอย่างไม่ย่อท้อเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ เรวัตเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสารอิมเมจ ฉบับเดือน เม.ย. 2538 ว่า ไม่ได้คิดว่าคนไทยจะต้องฟังเพลงแบบที่เขาคิดทั้งหมด “ผมเพียงแต่คิดว่า ผมจะเป็นคนหนึ่งที่นำเสนออาหารจานใหม่ให้แก่สังคมไทย นี่คือความคิดของผม” จากบทสัมภาษณ์นี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เรวัตมีจิตวิญญาณของความเป็นนักบุกเบิกมากแค่ไหน
อีกหนึ่งคำยืนยันที่ตอกย้ำว่าเรวัตคือบุคคลที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ของนักบุกเบิกมาจากปากของ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่เคยกล่าวไว้ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของเรวัต พุทธินันทน์... “พี่เต๋อเป็นนักปฏิวัติ เป็นผู้ก่อการในการนำความเป็นสากลสู่เพลงไทย ด้วยการนำภาษาไทยไปสอดคล้องไปสัมผัสทำนองเพลงสากล กลายเป็นแบบแผนใหม่ของเพลงไทย เดิมการแต่งเพลงไทยมักแต่งเป็นกลอนแล้วนำทำนองมาล้อมไว้ แต่พี่เต๋อกล้าฉีกวงล้อมนี้ กล้าพิสูจน์ทฤษฎีใหม่ๆ ให้เป็นที่ยอมรับ กลายเป็นอีกแบบอย่างหนึ่งของเพลงไทย”
ชาตรี คงสุวรรณ โปรดิวเซอร์เพลงมือทองของวงการซึ่งร่วมงานกับเรวัตมายาวนาน กล่าวย้ำว่า “พี่เต๋อเป็นคนพิสูจน์ให้เห็นว่า ในธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ยังมีที่ทางอีกมากมายให้คนดนตรีที่มุ่งมั่นจะทำในสิ่งที่ตนรัก และสามารถพาตนเองไปสู่ความสำเร็จของชีวิตที่ดีได้พร้อมกัน ทุกครั้งที่นึกถึงพี่เต๋อจะทำให้ผมมีกำลังใจเข้มแข็งที่จะก้าวเดินต่อไปในวิถีทางที่ถูกต้องและดีงามครับ”
เรวัตยังเป็นผู้ที่ค้นพบและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของศิลปินนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทย อาทิ เบิร์ดธงไชย แมคอินไตย์ นักร้องซูเปอร์สตาร์ผู้มียอดจำหน่ายผลงานเพลงรวมกว่า 20 ล้านชุด คริสติน่า อากีล่าร์ นักร้องหญิงคนแรกที่นำแนวเพลงป๊อปแดนซ์มานำเสนอให้กับผู้ฟังจนได้รับความนิยมต่อเนื่อง และได้รับฉายาจากแฟนๆ ว่าเป็น “Queen of Dance” ตัวจริง และ อมิตา ทาทา ยัง นักร้องหญิงที่ก้าวจากการเป็นนักร้องที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย สู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ในระดับอินเตอร์ ที่ทำรายได้เข้าประเทศไทยมากกว่า 800 ล้านบาท
บทสุดท้ายของชีวิต
เรวัตล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง และได้เดินทางไปรักษาตัวที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2539 รวมอายุ 48 ปี มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2540 สร้างความอาลัยให้แก่เพื่อนสนิทมิตรสหาย ลูกน้องบริวาร รวมทั้งคนไทยทั้งประเทศ


