ไดอะรีชีวิต..ของ"ณัฏฐา โกมลวาทิน"
ไดอะรีกับแรงบันดาลใจของ"ณัฏฐา โกมลวาทิน"ผู้ประกาศข่าวแห่ง "ที่นี่ไทยพีบีเอส"
โดย...ชุษณ์วัฏ ตันวานิช
ประเด็นข่าวคม น้ำเสียงหวานเข้ม ชัดถ้อยชัดคำ ทำให้ผู้ชมไม่น้อยปันใจจากละครหลังข่าวหันมาฟังรายงานสถานการณ์รอบวันของ ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้ประกาศหญิงแกร่งแห่ง “ที่นี่ไทยพีบีเอส” ประสบการณ์สุดโชกโชนจาก เดอะ เนชั่น สถานีโทรทัศน์ไอทีวี สถานีวิทยุบีบีซีภาษาไทยกรุงลอนดอน จวบจน ไทยพีบีเอส สร้างมิติความเป็น “คนข่าว” ให้กับ “ณัฏฐา” มากกว่าแค่ผู้ประกาศข่าวทั่วไป
จุดเริ่มต้นของความคิดการเป็น “คนข่าว” ณัฏฐา เล่าว่า เริ่มรู้ตัวตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เนื่องจากรู้ว่าตัวเองไม่ถนัดสายวิชาวิทย์-คณิต ขณะเดียวกันกลับทำได้ดีในสายวิชาด้านภาษา อันเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เริ่มเบนเข็มทิศชีวิตให้ชัดเจนขึ้น
“ตอนเรียนบดินทรเดชานี่แหละจุดเปลี่ยนมาก ตอนนั้นยอมรับเลยว่าเรียนสายวิทย์ฯ เพราะเลือกตามเพื่อน คือเพื่อนผู้ชายเยอะ เหมือนโน้มน้าวใจเราว่าถ้าให้เจ๋งจริงๆ ต้องสายวิทย์ฯ แต่พอไปเรียนจริงๆ โอ้โห! เป็นทุกข์มาก สอบตกทั้งฟิสิกส์ เคมี คือทำไม่ได้เลย ส่วนชีวะนี่ผ่านแบบคาบเส้น ขณะเดียวกันภาษาอังกฤษและภาษาไทยเราจะทำคะแนนได้ดีอย่างเป็นธรรมชาติ
จบปุ๊บก็เลยมาสอบเอแบค (มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ) เรียนศิลปศาสตร์เอกอังกฤษ พอเรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดรู้สึกเลยว่าชอบและเอนจอยกับการเรียนมาก จะมีวิชาเรียน Reading in Newspaper และหลายวิชาที่ให้ออกไปรายงานหน้าห้องเราก็จะสนุกเเละรู้สึกว่าทำไมเพื่อนมันกลัวจังเลย แต่เราจะมันมาก เลยรู้ว่ามันเป็นแนวทางที่เราชอบ เลยอยากเป็นสื่อตั้งแต่ตอนนั้น”
ด้วยสายงานที่รองรับสาขาศิลปศาสตร์ไม่กว้างนัก ณัฏฐาจึงเข้าทำงานเป็นเลขาฯ ผู้จัดการโรงงานผลิตรถเข็นเด็กของไต้หวันร่วม 8 เดือน เธอเล่าติดตลกว่า ไม่อาจทนการใช้ชีวิตจำเจของการเป็น “สาวโรงงาน” ได้ จึงตัดสินใจลาออกและสตาร์ตอาชีพ “คนข่าว” ที่โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ “เดอะ เนชั่น” และย้ายไปเป็นผู้สื่อข่าวสายเดิมสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ก่อนจะสอบชิงทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทสังคมวิทยาและปริญญาเอกด้าน Gender Studies ที่ London School of Economics และกลับมารับตำแหน่งนักวิจัยและอาจารย์สอนนักศึกษาปริญญาโทที่ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วม 3 ปี
ในที่สุดณัฏฐาเบนเข็มทิศหวนคืนสู่สังเวียนเดิมอีกครั้ง โดยก้าวมาเป็นผู้ประกาศหญิงของทีวีสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทย
“ช่วงแรกที่เข้ามาใหม่ มีเซๆ เหมือนกัน เพราะมีฟีดแบ็กเข้ามาทุกสารทิศจากทั้งในและนอกองค์กร อย่างเรื่องจับประเด็นไม่แม่น ลีลาการพรีเซนต์ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แต่ฟีดแบ็กเกี่ยวกับตัวเองยังไม่เครียดเพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวมันจะค่อยๆ ปรับได้ แต่จะเครียดสถานการณ์ทางการเมืองแรงๆ ช่วงกลุ่ม นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) เคลื่อนไหว จะมีคอมเมนต์เข้ามาเยอะว่าเราเลือกข้าง เลือกสี เลือกแหล่งข่าวคนนั้นคนนี้ คือมันมีทุกวัน แล้วเราก็ไปตามแก้ไม่ไหวจนรู้สึกว่าทำอะไรก็โดนด่า หายจากหน้าจอไปสิบปี พอกลับมาเจอแรงวิจารณ์ก็รู้สึกว่าจะรอดไหมเนี่ย (หัวเราะ)”
ณัฏฐา บอกเคล็ดลับง่ายๆ ในการบริหารความกดดัน 3 ข้อว่า “1.ไม่คิดอะไรมาก 2.กลับบ้านนอน 3.พรุ่งนี้เอาใหม่” ก่อนเจ้าตัวจะยิ้มอารมณ์ดีเเล้ว ย้ำว่าอีกแรงบันดาลใจสำคัญ คือ การคิดอยู่เสมอว่าทำอย่างไรให้ไทยพีบีเอสเป็นทีวีสาธารณะที่เข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด
“พลังมันมาจากคนดู อย่างเราทำรายการที่นี่ไทยพีบีเอส รู้สึกว่ามันต้องเปิดมุมมองให้กับคนดูได้และต้องผลิตเนื้อหาเป็นประโยชน์กับสังคม แล้วฟีดแบ็กจะเข้ามาเองว่าประเด็นนี้สะท้อนความเดือดร้อนของเขา อยากให้เราไปตามต่อ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ไม่กี่เสียงที่ติดต่อเข้ามา แต่มันสะท้อนว่าเขาดูเราอยู่และเขาได้รับประโยชน์ ทำให้เรารู้สึกมีพลัง เพราะแสดงว่าข่าวของเราไปช่วยสร้างประโยชน์หรือเพิ่มพูนอะไรให้กับชีวิตพวกเขาได้บ้าง
อย่างไม่นานมานี้เราทำประเด็น ผู้หญิงกับความรุนแรงในภาคใต้ ลงพื้นที่เรดโซน อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ได้ไปเห็น ฟังเสียง พูดคุยกับผู้หญิงในพื้นที่ว่าเขาเจอความรุนแรงในแต่ละวันเเล้วต้องปรับตัวอย่างไร เราจะชอบงานประมาณนี้ หรือช่วงที่ไทยกับกัมพูชาทะเลาะกันแรงๆ ทีมงานเราก็ไปเดินตลาดสด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ คุยกับพ่อค้าแม่ค้า คล้ายกับเป็นสภากาแฟไปฟังเสียงของคนที่อยู่ชายแดนว่ารู้สึกอย่างไร
คือเราชอบเพราะมันไม่ใช่สนุกอยู่เพียงการคุยกับผู้นำหรือนักการเมืองอย่างเดียว อย่างที่ได้สัมภาษณ์พี่จินตนา แก้วขาว (แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบ่อนอก-หินกรูด ประจวบคีรีขันธ์) หลังออกจากคุกมาเพียงวันเดียว เรารู้สึกเลยว่าผู้หญิงคนนี้ทั้งสู้ทั้งลุย เวลาเจอคนสู้จริงๆ อย่างคนที่สู้เพื่อคนไร้สัญชาติ คนงานต่างด้าว นักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน เรารู้สึกว่าชีวิตเราสบายกว่าเขาเยอะมาก แต่ให้เราไปใช้ชีวิตแทนเขาก็คงไม่ได้ เขาก็ทำงานของเขาไป แต่เราคิดว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างหากเราได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาให้คนในสังคมรับรู้ แน่นอนว่าก็เหมือนชาร์จแบตเราไปด้วย เพราะการฟังประสบการณ์คนอื่นเอามาสังเคราะห์ต่อ มาเรียนรู้ต่อ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เรา”
ห้วงเวลาในชีวิตที่ได้พบปะหรือสนทนากับบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจของเธอ ผู้ประกาศสาวแกร่งคนนี้จะเเปรสภาพความคิดของเธอเป็นหมึกอักษรจดบันทึกใน “ไดอะรี” หลายสิบเล่ม ความทรงจำที่เธอเลือกจดจะใช้ปริมาณบรรทัดในไดอะรีเยอะตามอัตราความประทับใจ
“จำได้ว่าครั้งที่ได้สัมภาษณ์องค์ดาไลลามะ (ผู้นำจิตวิญญาณของทิเบต) ที่ธรรมศาลา คืนนั้นกลับมาเขียนบันทึกยาวมาก เรารู้สึกปลาบปลื้มที่ได้เจอบุคคลที่เราเคารพนับถือมากๆ ก็จดไปว่าเราคุยกับท่านยังไง สนทนาอะไรกับท่านบ้าง หรือตอนไปทำข่าวที่พม่า วันที่เจอ อองซานซูจี (ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยชาวเมียนมาร์) กลับมาโรงแรมก็บันทึกเลยว่า วันนี้เราเจอเขาได้อย่างไร คุยอะไรกับเขา แล้วเรารู้สึกอย่างไรบ้าง จะพยายามเขียนให้ได้ทุกคน
ได้เก็บความทรงจำใส่บันทึกส่วนตัวไว้ มันจะเป็นความประทับใจว่าวันนั้นเราได้สัมภาษณ์ใคร สะท้อนว่าประทับใจยังไงกับคนคนนั้นอย่างไร เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี เราจะกลับมาดูพัฒนาการความคิดเรา ดูการตีความของแต่ละเหตุการณ์ของตัวเราเมื่อเวลาผ่านไป พออ่านแล้วมันจะมีสองอารมณ์ เราจะคิดว่า สมัยก่อนทำไมคิดอะไรได้ซับซ้อน หรือดูยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้นะ หรืออาจคิดว่าทำไมเมื่อก่อนเราคิดโหลยโท่ยแบบนี้นะ (หัวเราะ)”
คาดการณ์ได้ว่าการเขียนไดอะรีจะยังคงไม่มีวันหมดอายุเช่นเดียวกับอาชีพผู้ดำเนินรายการข่าวที่ณัฏฐาบอกว่ายังไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าจะยุติเมื่อใด รู้เพียงว่าตอนนี้ยังมีความสุขกับทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาเเละได้ประกอบอาชีพนี้
“อาจจะเป็นจนกว่าโลกจะแตก (หัวเราะ) จริงๆ เราชอบคุณป้าบาร์บารา (วอลเตอร์ ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดังชาวอเมริกันวัย 84 ปี) มาก แล้วเธอก็บอกว่าถึงฉันจะอายุเลข 8 แล้ว เเต่ก็ยังมีคนดูฉันอยู่ เราก็คิดว่าเมืองไทยจะทำได้ไหมนะผู้ประกาศหญิงอายุขนาดนี้ แต่เราคงไม่คิดกะเกณฑ์ชีวิตตัวเองมากขนาดนั้น เพราะอีกสักสองสามปีเราอาจจะเปลี่ยนความคิดนี้แล้วก็ได้”
“...แต่ตอนนี้เรายังสนุกอยู่ (หัวเราะ)” ผู้ประกาศหญิงที่เราอาจได้เห็นเธอเป็น “บาร์บาราเมืองไทย” ว่าพลางยิ้มอารมณ์ดี


