posttoday

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหายได้

18 ธันวาคม 2555

อณุศรา ทองอุไร

อณุศรา ทองอุไร

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบอยู่ใกล้ตัวคนเราและพบบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย ตัวเราเองและคนใกล้เคียงอาจเป็นคนหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยจำนวนมากเสียชีวิตในลำดับต้นๆ ล่าสุดวงการแพทย์ค้นพบเทคนิควิธีการรักษาแบบใหม่ด้วย “โครงค้ำยันขยายหลอดเลือดชีวภาพเคลือบยาชนิดย่อยสลายได้” โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้นำมาใช้ เพื่อการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

นวัตกรรมใหม่!!

ศูนย์โรคหัวใจโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดย นพ.วศิน พุทธารี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด และอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า วงการแพทย์ตอบรับนวัตกรรมใหม่เพื่อใช้ในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ด้วยการใช้ “โครงค้ำยันขยายหลอดเลือดชีวภาพเคลือบยาชนิดย่อยสลายได้” (Bioresorbable Vascular Scaffold) นับเป็นนวัตกรรมที่ก้าวหน้าในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในประเทศไทย หลังจากการวิจัยในต่างประเทศพบว่าผลที่เกิดขึ้นคือ หลังจากที่ได้รับการรักษาไปแล้ว 12 ปี หลอดเลือดหัวใจสามารถกลับมาทำงานหดตัวและคลายตัวได้เหมือนหลอดเลือดปกติ โดยโครงค้ำยันฯ จะย่อยสลายหมดภายในระยะ 2 ปี

ปัจจุบันขดลวดถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจที่ใช้รักษาผู้ป่วย ทำมาจากวัสดุที่เป็นโลหะและฝังในร่างกายผู้ป่วยแบบถาวร ข้อเสียคือ มีโอกาสทำให้เม็ดเลือดยึดเกาะรวมตัวกันและจับตัวกันเป็นลิ่มเลือดจนนำไปสู่ภาวะขดลวดอุดตันได้ แม้จะเกิดน้อยมาก แต่ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อีกทั้งขดลวดยังจำกัดการขยายตัวและหดตัวของหลอดเลือดไม่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ บดบังการถ่ายภาพเอกซเรย์ทำให้การตรวจวินิจฉัยทำได้ยากขึ้น และยังเป็นอุปสรรคต่อการรักษาหลอดเลือดในอนาคตอีกด้วย

ขณะที่วัสดุโครงค้ำยันฯ ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้นี้ เป็นนวัตกรรมใหม่นี้ผลิตมาจาก โพลีแลคติก แอซิด (Polylactic acid) ซึ่งเป็นวัสดุที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพกับร่างกายมนุษย์ และเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในการใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ในร่างกายมนุษย์ เช่น ไหมเย็บแผลชนิดละลาย

จากผลการวิจัยในต่างประเทศทั้งในประเทศออสเตรเลีย เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ โปแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ของการใช้โครงค้ำยันขยายหลอดเลือดหัวใจที่ร่างกายดูดซึมได้กับผู้ป่วย แสดงให้เห็นว่าสามารถรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจได้เป็นผลสำเร็จ และหลอดเลือดที่มีการใส่โครงค้ำยันฯ ดังกล่าว สามารถขยายและบีบตัวได้โดยไม่ถูกจำกัดจากอุปกรณ์ที่ใส่ไว้ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ในระยะยาวกับตัวผู้ป่วยเอง นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏกรณีการเกิดลิ่มเลือด (การจับตัวเป็นก้อนของเลือด) ตลอดระยะของการติดตามผลการรักษายังไม่ปรากฏเหตุการณ์ใดก็ตามที่ทำให้ต้องมีการรักษารอยโรคบริเวณหลอดเลือดหัวใจที่ได้รับการรักษาไปแล้วซ้ำอีก

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหายได้

 

สาเหตุและกลุ่มเสี่ยง

เกิดจากการที่หลอดเลือดแดงเริ่มหนาตัว เนื่องจากมีไขมันเกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการอุดตันจนเกิดภาวะหลอดเลือดแดงตีบตัน โดยเฉพาะถ้าเกิดกับหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจ ทำให้ช่องทางเดินของเลือดแคบลง เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลง กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวได้ไม่ดีนัก ทำให้เกิดหัวใจขาดเลือดและนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ซึ่งคนไทยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้เพิ่มสูงขึ้นทุกปี

กลุ่มเสี่ยงคือ 1.กลุ่มที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้สูงกว่า 2.เพศชายมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศหญิง 3.ความเสี่ยงที่เกิดจากโรคประจำตัว เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน เพิ่มโอกาสของการเป็นโรคสูงขึ้น 4.วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เช่น บริโภคอาหารที่มีไขมันสูง ทำงานนั่งโต๊ะ ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ภาวะเครียด

อาการและวิธีป้องกัน

ระยะแรกมักไม่แสดงอาการ จนกระทั่งหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบมากขึ้น อาการที่สามารถสังเกตเบื้องต้น คือ เจ็บแน่นหน้าอก รู้สึกเหมือนถูกบีบรัดแน่น อึดอัดบริเวณหน้าอก อาจร้าวไปไหล่ซ้ายและแขนซ้าย บางรายอาจร้าวขึ้นไปที่คอ และจะมีอาการมากขึ้นเมื่อออกแรง ออกกำลังกาย เดินขึ้นที่สูง หรือทำงานหนัก รู้สึกเหนื่อยง่าย บางรายอาจจะมีเหงื่อออก ตัวเย็น ภาวะโรคหลอดเลือดตีบจะค่อยๆ เป็นมากขึ้นทีละน้อย ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจรักษาอาการ ถ้าหากอาการยังไม่รุนแรงมาก โอกาสในการรักษาสามารถทำได้โดยง่าย

วิธีป้องกันตัวเอง แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ ปัจจัยที่ควบคุมได้ คือ ต้องเลิกสูบบุหรี่ ถ้าอ้วนควรหาทางลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ภาวะตึงเครียดและความโกรธ ทำจิตใจให้เบิกบาน และเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี สำหรับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น กลุ่มที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ก็ต้องพยายามดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการหมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย ลดภาวะตึงเครียด และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี

การวินิจฉัยและรักษา

วิธีการตรวจเพื่อรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีหลายวิธี

1.การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ สามารถวินิจฉัยได้ในระดับหนึ่ง

2.การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะวิ่งบนสายพาน ช่วยคัดกรองผู้ที่มีเส้นเลือดหัวใจตีบได้

3.การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง

4.เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ตรวจหัวใจ

5.การฉีดสีถ่ายภาพเอกซเรย์หลอดเลือดหัวใจ

สำหรับวิธีการรักษานั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์และความต้องการของผู้ป่วย โดยพิจารณาจากอายุและอาการของคนไข้เป็นหลัก วิธีการรักษามีหลายวิธี อาทิ วิธีการใช้ยา การผ่าตัดต่อเส้นเลือด การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ การขยายหลอดเลือดหัวใจโดยใช้บอลลูน และเทคโนโลยีแห่งอนาคตในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือ โครงค้ำยันขยายหลอดเลือดชีวภาพเคลือบยาชนิดย่อยสลายได้ ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ของการรักษาที่ผลวิจัยสำเร็จ พร้อมใช้จริงกับผู้ป่วยไทยแล้ว

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี