หนึ่งเดียวของไทย นักร้องเบลคานโต โอเปรา
แรกฟังว่า...หนุ่มเสียงทรงพลังคนนี้เป็นนักร้องคลาสสิก อิตาเลียน เบลคานโต คนแรกของประเทศไทย ก็ปลื้มแทน
แรกฟังว่า...หนุ่มเสียงทรงพลังคนนี้เป็นนักร้องคลาสสิก อิตาเลียน เบลคานโต คนแรกของประเทศไทย ก็ปลื้มแทน
ณัฐพล ช่วงประยูร/ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข
แม้ว่าจะเป็นดนตรีสายคลาสสิกที่ไม่ได้แพร่หลายในวงกว้างบ้านเรา แต่เขาก็คือสุดยอดคนหนึ่งที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจและพลังความรู้ความสามารถสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองและประเทศชาติ ตามความถนัดและพรสวรรค์จากเสียงทุ้ม นุ่ม กังวาน เท่ และทรงพลัง
“สนุ้กกรวีร์ สุนทรวิภาต” เคยเป็นนักร้องในวงดนตรีของวชิราวุธวิทยาลัย ตัดสินใจเข้าศึกษาปริญญาตรีดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ด้าน Voice Performance (Classical) จนสำเร็จปริญญาตรี แต่ใจก็ยังสงสัยเสมอว่าเพราะเหตุใดคนไทยร้องโอเปราไม่เหมือนยุโรป ทั้งที่ญี่ปุ่นและเกาหลีก็เป็นแถวหน้าของเอเชียได้
จากจุดนั้นสนุ้กมุ่งมั่นหาคำตอบและสานต่อเส้นทางชีวิตสายโอเปราจนสามารถคว้าทุนส่งเสริมดนตรีคลาสสิกในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และกองทุนพระวรวงค์เธอฯ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ไปเรียนขับร้องโอเปราที่สถาบัน AEF (Accademia Europea di Firenza) สถาบันที่มีชื่อเสียงทางด้านดนตรีและศิลปะที่กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เป็นคนแรกของประเทศไทย ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี และการไปพบปะหนึ่งในเจ้าตำรับคลาสสิกของโลก ทำให้สนุ้กค้นพบว่าตัวเองเป็นเพียงคนเล็กๆ ในโลกดนตรีสายนี้
“คุณแม่ (วิบูลย์สุข พรหมสาขา ณ สกลนคร) เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ครับ ท่านสนับสนุนทุกอย่าง และทำให้ผมได้รู้จักกับอาจารย์คิม (Charles Kim) ครูสอนโอเปราชาวเกาหลี ซึ่งท่านก็มีดีกรีโอเปราที่อิตาลีเหมือนกัน พอผมได้พูดคุยกับท่าน จึงทราบว่าที่เราเรียนมาทั้งเทคนิคและวิธีการร้องนั้นผิดหมดเลย ยิ่งผมได้ร้องให้อาจารย์ฟัง คำตอบที่ได้คือ ร้องแบบนี้สอบที่นั่นไม่ติดหรอก! นั่นทำให้ผมต้องเริ่มต้นปูพื้นฐานการร้องใหม่กว่า 2 ปี ก่อนที่จะเดินทางไปสอบเข้าโดยวิธีการร้องสดให้กรรมการฟังที่ AEF ผมตื่นเต้นและดีใจมากครับที่สอบผ่าน
ก่อนหน้านั้นเรียนที่วชิราวุธเป็นโรงเรียนมีวินัยมากเหมือนทหาร ช่วงนั้นจะมีระบบจูเนียร์ ซีเนียร์ เด็กๆ จะกลัวรุ่นพี่มาก ถัดมาก็มาต่อมหาวิทยาลัยมหิดลวิทยาลัย สาขาดุริยางคศิลป์ ตอนแรกผมก็ไม่รู้ตัวว่าชอบดนตรี ครั้งหนึ่งมีงานวันเกิดของคุณตาเป็นคนไม่กล้าขึ้นเวที จนคุณตาเขาพูดว่าทำไมไม่ขึ้นล่ะ หลานคนอื่นเขาก็ขึ้น ตอนนั้นอยู่ ม.ปลายก็เลยไปเรียนขับร้องนิดหนึ่ง เพื่อที่จะเซอร์ไพรส์ในงานวันเกิดคุณตา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ร้อง เพราะคุณตาเสียพอดี ฉะนั้นคุณตาก็เป็นคนแรกที่อยากให้ทำกิจกรรมหรือร้องเพลงอะไรก็ตาม และก็เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ยินเสียงผมเลย
ในช่วงที่เราเรียนร้องเพลง ทำไมมีความสุขเวลาอยู่บนเวทีทุกครั้งที่ขึ้นร้อง ตอนอยู่โรงเรียนก็เป็นนักร้อง ร้องลูกกรุง (หัวเราะ) ประจำชั้นตลอดช่วง ม.ปลาย แล้วครูท่านหนึ่งก็แนะนำให้ไปสอบเรียนต่อ ตอนนั้นมหิดลเปิดเป็นรุ่นแรกพอดี เรามีความสุขกับดนตรี แต่ไม่มีความรู้เลยว่าคนที่จะเรียนดนตรีนั้นต้องมีการเตรียมตัวอย่างไร ทำอย่างไรก็โชคดีที่คุณครูคนนี้เป็นคนเตรียมตัวให้ ว่าถ้าคุณจะเข้าไปเรียนในนี้ คุณต้องสอบอะไรบ้าง เตรียมอะไรบ้าง เริ่มต้นตอนเข้าไปเมเจอร์วอยซ์ทางแจ๊ซตอนปี 1 เทอม 1 และช่วงนั้นยังไม่มีคุณครูที่สอนร้องแจ๊สก็ให้ไปเรียนคลาสสิกก่อน ผมไม่รู้จักเลยว่าคลาสสิกคืออะไร โอเปราคืออะไรไม่รู้เรื่องเลย พอได้เข้าไปเรียนคลาสสิกได้สักนิด ก็เอ๊ะ...หลงเสน่ห์เพลงคลาสสิก หลงเสน่ห์โอเปราก็ตัดสินใจไม่กลับไปแจ๊ซเลย ขอย้ายเซ็กชันมาเป็นคลาสสิก
ส่วนตัวเลยครับร้องคลาสสิกผมรู้สึกว่า ได้ใช้ศักยภาพทั้งตัวเต็มที่ คือเหมือนกับว่าเวลาร้องแล้วเราได้สื่อออกมาทั้งบอดีทั้งตัวเสียงที่มันออกมามันไม่ใช่แค่บริเวณนี้ มันเป็นอะไรที่ท้าทายมาก คลาสสิคอลโอเปราทุกคนเรียนได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นนักร้องคลาสสิกได้
ปัจจุบันในระดับโลกนั้น วงการนี้มีความแตกต่างกันบ้างด้านเทคนิคก็มีปรับเปลี่ยนบ้างอย่างซาวด์ที่ออกมา ในแง่เทคนิคก็ต้องยอมรับว่าสู้สมัยก่อนไม่ได้
ผมต้องการย้อนกลับไปว่าอะไรคืออิตาเลียนเบลคานโต ตอนเรียนก็สงสัยอะไรคือเบลคานโต จนสุดท้ายก็ตัดสินใจ เอาล่ะ! ถ้าอยากรู้ก็ไปถึงถิ่นเลยดีกว่า
อิตาเลียนเบลคานโตก็จะเด่นในเรื่องการเล่นโน้ตเสียงสูงต่ำออกมาง่ายดูสบาย การรันโน้ตจะชัด จะให้ความรู้สึกไบรท์สว่างแต่สตรองเวลาร้องในโรงใหญ่ แม้แต่ในโอเปราเองก็มีหลายชนิด หลายเทคนิควิธีร้อง เหมือนเรือรำใหญ่ลำหนึ่งที่วิ่งบนผิวน้ำแบบไม่หยุดเลย ผมสามารถร้องได้ไหมครับ” และหนุ่มสนุ้กก็จัดชุดเล็กทรงพลังก้องห้องที่เราสัมภาษณ์ ก่อนจะเล่าถึงการเป็นนักเรียนทุน
“ผมขอทุนมูลนิธิของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ และทางมูลนิธิก็สนับสนุนทางดนตรีคลาสสิก แต่เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถ อุปนิสัยเหมาะสมที่จะได้รับทุนของมูลนิธิ บางคนเก่งอย่างเดียวไม่มีคุณธรรมก็ไม่มีประโยชน์ เริ่มแรกทางมูลนิธิก็ยังไม่มีเงินสนับสนุนมาก ผมก็ใช้เงินส่วนตัวของคุณแม่ คือเริ่มต้นไปแค่ 6 เดือน
ระบบการศึกษาของยุโรปจะไม่มีการส่งเทปเอดิชัน คุณจะต้องเดินทางไปสอบโดยตรงให้ครูฟัง และถ้ามีความรู้เรื่องภาษาจะดีมาก เพราะอิตาลีจะไม่พูดภาษาอังกฤษ แต่ที่ยุโรปค่อนข้างให้โอกาส เวลาไปเอดิชันคุณอาจจะไม่ต้องเก่งอะไรมากมาย เขาจะดูแววของคนคนนี้ แล้วถ้ามีสุดท้ายติดไม่ติดขึ้นอยู่กับว่าครูที่เอดิชันเขาอยากสอนคุณไหม” เขาเล่าฟังดูเรียบง่าย แต่จริงๆ ยากและท้าทายเหลือเกิน
คนเอดิชันไม่เยอะมาก เขาจะเข้ามาจัดระดับเองว่าคุณอยู่ระดับไหน ระดับของเขาที่แยกคือจากศูนย์เลยก็ได้ คุณไม่เป็นอะไรเลยก็ได้แต่ไม่ต้องเอดิชัน ให้สมัครเรียนเลย แล้วก็มาบีกินเนอร์ ระดับกลาง และระดับแอดวานซ์เลย ผมก็อยู่ระดับแอดวานซ์
หลักสูตรทั้งหมดเลย 6 ปี คือเริ่มจากทางอิตาลีเขาจะไม่วัดศิลปะกับใบปริญญา เขาถือว่าศิลปะคุณเอาใบปริญญามาวัดไม่ได้ จากที่คุณจบ เพราะว่าตัวปริญญาไม่ได้วัดว่าคุณเก่ง อันนี้คือความคิดของอิตาลี ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะจบอะไรก็ตาม ทุกอย่างที่เป็นอาร์ตก็จะได้เป็นดิโพลมา เขาจะบังคับให้คุณเรียนทุกอย่างในนั้น
ส่วนตัวผมยอมรับเลยว่ามีกิเลสอยู่นิดหนึ่งคือ ไม่มีความเพียงพออยากเรียนเพิ่ม อย่างที่เขาว่าศิลปะไม่มีวันเรียนรู้จบ ผมจบแอดวานซ์มาไม่ใช่ว่าจะได้กันทุกคน และผมได้คะแนนสูงสุดของรุ่น
ด้วยใจที่ไม่ท้อ ไม่ยอมแพ้แต่ยอมรับว่าร้องไห้ก็หลายครั้งเหมือนกัน กดดันว่าเราเป็นนักเรียน ยุโรปเขามาตรฐานค่อนข้างสูง ดูแต่ละคนที่ร้องแล้วมาคิดว่าเราต้องร้องกับพวกเขาหรอ ไหนจะครูอีก กดดันมาก จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อตอนที่ผมใกล้จบแล้ว คุณครูทั้งสองบอกผมว่า ดีใจด้วยวันนี้คุณร้องเหมือนคนอิตาลีเลย จงดีใจเถอะเพราะคุณไม่เคยท้อเลย โดนกดดัน ไม่เคยแพ้เลย
ตอนอยู่ที่อิตาลี ผมเล่นคอนเสิร์ตทุกเดือนครับ มันถึงตื่นเต้นและกดดัน ที่ตื่นเต้น และประทับใจคือครั้งหนึ่ง เมโทร โอเปรา เฮาส์ จากนิวยอร์กมาทำที่อิตาลี ต้องระดับโลกเท่านั้นนั้นถึงจะได้เล่น คุณครูเขาก็ใช้ให้ผมไปเอดิชัน พอไปถึงก็เห็นว่า โอ้! ทุกคนคือระดับมืออาชีพทั้งนั้น มีผมเป็นนักเรียนคนเดียว บางคนได้บทแล้วเล่นตอนนั้นเลย นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ผมก้าวขาไม่ออก มันต่างเลเวลกันคือนี่นักเรียน แต่ตรงนั้นคือระดับโลก (หัวเราะ) ผลปรากฏว่าผมโดนอาจารย์ผลักออกไป (หัวเราะ) พอได้ร้องแล้วทุกอย่างมันก็โล่งไปหมด
สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจคนยุโรปไม่มีคนดูถูก เขาให้กำลังใจ พอผมร้องเสร็จเสียงตบมือดังมาก คือยังไงเราก็ไม่ถึงระดับโลก ณ วันนั้นมี 67 คนที่ร้องด้วยกัน ได้คำวิจารณ์ที่ดีเขาบอกว่า อย่างน้อยคุณก็ใจกล้ามากที่สามารถคอนโทรลจนจบเพลง แต่ก็ผ่านมาได้ กัดฟันสู้ สุดท้ายที่คนเขารู้ว่าผมตื่นเต้น คือพอร้องจบผมลงไปนั่งกับพื้น (หัวเราะ) ตื่นเต้นมันชาไปทั้งตัว ก้าวขาไม่ออก อยากกลับบ้านเลย ไม่ฟังผลเอดิชันว่าจะได้ไปเล่นที่เมโทรไหม คือรู้ตัวอยู่แล้วว่าไม่ได้เพราะมันเป็นถึงระดับโลก
ยอมรับเลยว่าเรื่องเดียวที่ผมมีวินัยคือเรื่องดนตรี คือต้องซ้อมทุกวัน ต่อให้ครูเป็นเทวดา ถ้าคุณไม่ซ้อมไม่มีทางทำให้คุณเก่ง อีกอย่างคือต้องมีความเคารพในวิชาชีพของตนเอง ให้ความสำคัญกับคำว่าศิลปะมากกว่าคำว่าธุรกิจ และเร็วๆ นี้จะมีคอนเสิร์ตพร้อมอาจารย์ที่รักบินมาร่วมจอยครับ”
และนี่คือหนทางของหนุ่มระดับโลก ที่ยังคงมองเห็นว่าตัวเองรู้น้อย และเก่งขึ้นได้ทุกวัน
ใครที่อยากสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งโอเปรา เตรียมพบกับคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ของ “สนุ้ก กรวีร์” ได้ในวันที่ 6 ม.ค.นี้ ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมเชิญอาจารย์ซูซานนา มาขับร้อง และ Cristiano Manzoni โอเปราโค้ช มาร่วมบรรเลงเปียโนในการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย โดยจะนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้มูลนิธิวังพญาไท และกองทุนส่งเสริมดนตรีคลาสสิกในพระอุปถัมภ์ฯ
ผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่งได้ที่ มูลนิธิวังพญาไท โทร. 02-354-773-5 หรือ 02-354-798


