เที่ยวไร่เชิญตะวัน
เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา หนูดีมีโอกาสดีในการได้เดินทางไปเที่ยว ทำงาน และเยี่ยมชมไร่เชิญตะวัน ของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี
โดย...หนูดี-วนิษา เรซ
เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา หนูดีมีโอกาสดีในการได้เดินทางไปเที่ยว ทำงาน และเยี่ยมชมไร่เชิญตะวัน ของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ที่ จ.เชียงราย เหตุเพราะต้องไปอัดรายการ “เปิดโลกเปิดเล่ม” ที่หนูดีเป็นพิธีกรอยู่ และมีตอนสัมภาษน์พระอาจารย์ด้วย หนูดีเลยโชคดีได้กลับไป จ.เชียงราย อีกครั้ง หลักจากไม่ได้ไปมานานมากแล้ว และไม่เคยได้ไปไร่เชิญตะวันของพระอาจารย์เลยด้วย ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ และไม่แน่ใจเลยว่า พระอาจารย์มีเปิดสอนอะไร อย่างไรบ้าง
พอได้ไปสัมภาษน์ มีโอกาสได้เดินชมสถานที่ ได้เห็นคอร์สต่างๆ ก็เลยเกิดความประทับใจ ต้องรีบนำมาเล่าให้แฟนๆ คอลัมน์ของหนูดีฟังบ้าง หากท่านใดสนใจจะได้มีตัวเลือกอีกแห่งหนึ่งสำหรับการภาวนา หรือแม้ไม่อยากไปภาวนา แต่เพียงไปเยี่ยม ไปชม ไปสัมผัส เหมือนไปสถานที่ท่องเที่ยว สักหนึ่งวันก็จะได้รับความร่มเย็นในใจ มีความสุข สงบ เพราะสถานที่ตรงนั้น เป็นสัปปายะจริงๆ ค่ะ แค่มาชม มานั่งเล่น มาถ่ายรูป หนูดีคิดว่า เจ้าของสถานที่ก็ดีใจแล้ว เพราะวันที่หนูดีไปสัมภาษน์ท่านนั้น มีน้องๆ นักเรียนมัธยมมากันเยอะเชียว พอไปถามก็ปรากฏว่า น้องๆ บอกว่า ปิดเทอม ไม่รู้จะไปไหน เลยมานั่งเล่น มาถ่ายรูปที่นี่ เพราะสวยและนั่งเล่นสบาย ฟังแล้วชื่นใจนะคะ
สำหรับในรายการ “เปิดโลกเปิดเล่ม” ของเรานั้น เราสัมภาษน์ท่านสำหรับหนังสือหนึ่งเล่มโปรดที่เปลี่ยนชีวิตของท่าน ซึ่งใครจะรู้ว่า พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี นั้น ก็เคยคิดจะสึกมาแล้วครั้งหนึ่ง ท่านอธิบายสภาวะของพระที่อยากจะสึก ร้อนผ้าเหลือง อยู่ไม่ไหวแล้วว่า เป็นเหมือนกับมีหมาเน่ามาห้อยคอไว้ มันเหม็น มันอึดอัด มันทนอยู่ไม่ได้ อยากจะสึกออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยังนับว่าโชคดี ท่านได้อ่าน “ตามรอยพระอรหันต์” ของท่านพุทธทาส อ่านแล้วประทับใจ ก็เลยจับรถไปสวนโมกข์ทางใต้ แล้วไปอยู่ที่นั่น ท่านได้รับความสงบเย็นอันเป็นสัปปายะของสถานที่แห่งนั้น ได้ยินเสียงนกร้องให้ฟังเมื่อตื่นนอนทุกเช้า ได้กลับสู่สภาวะของพระที่อยู่กับป่ากับต้นไม้ เป็นพระที่ได้อยู่นอกเมือง หลังจากที่ต้องเป็นพระในเมืองใหญ่มานาน ท่านจึงเกิดแรงบันดาลใจว่า อยากทำวัด หรือสถานปฏิบัติธรรมที่สงบ สบาย เต็มไปด้วยธรรมชาติและแมกไม้ สมกับคำขวัญว่า แมกไม้ให้ความสงบภายนอก ธรรมะให้ความสงบภายใน จึงเกิดเป็นเหมือนบลูพรินต์ขึ้นในความคิดของท่าน ที่จะสร้างไร่เชิญตะวันแห่งนี้ให้ออกมามีลักษณะทางกายภาพอย่างไร ซึ่งตัวหนูดีเอง เมื่อมาถึงแล้วประทับใจไม่เคยเห็นที่ไหนซ้ำแบบ เพราะมองไปมีภูเขาล้อมรอบ มีบึงเก็บน้ำขนาดใหญ่ และมีวงดินสามวงในน้ำที่ตรงกลางปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ไว้เอาไว้เดินจงกรม มีสะพานข้ามน้ำที่เอาไว้เดินเจริญสติ มีห้องภาวนาที่เปิดโล่งมองเห็นต้นไม้ มีหอนอนที่สร้างจากไผ่ ฯลฯ แถมความสะอาดทุกซอกทุกมุม
ส่วนการภาวนานั้น ท่านได้แรงบันดาลใจมาจากหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ แห่งหมู่บ้านพลัม ที่ท่านได้อ่านหนังสือของหลวงปู่ตั้งแต่อายุ 17 ปี และเคยฝันไว้ว่าอยากไปปฏิบัติด้วย ซึ่งฝันของท่านก็เป็นจริงในอีก 17 ปีต่อมา ที่ท่านได้รับจดหมายเชิญไปร่วมงานภาวนาที่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ท่านได้รับแนวคิดดีๆ ที่ทำให้หลักสูตรการภาวนาของท่าน เป็นรูปเป็นร่างที่น่าสนใจ เช่น คอร์ส 1 วัน 1 คืน สำหรับ CEO ผู้บริหาร คอร์ส 3 วันสำหรับนักธุรกิจ คอร์ส 5 วันสำหรับบุคคลทั่วไป ฯลฯ ซึ่งคอร์สเหล่านี้มีเปิดประจำสม่ำเสมอ หนูดีเองก็ตั้งใจไว้ว่า ปลายปีนี้ หลังจากวันเกิดของตัวเองในเดือน ธ.ค. ก็จะขึ้นไปร่วมงานภาวนาสักงานหนึ่ง งดติดต่อกับโลกภายนอกสักพัก ซึ่งหนูดีว่าการงดการติดต่อนี่เป็นโบนัสของชีวิตจริงๆ ค่ะ ไม่เช่นนั้น วันๆ เราคงไม่มีเวลาฟังเสียงใจตัวเองเลย ท่ามกลางงานที่ยุ่งและสังคมที่วุ่นวายแบบทุกวันนี้
นอกจากนี้ ท่านยังแนะนำหนังสือเล่มโปรดที่ไม่ใช่หนังสือธรรมะ แต่ให้แรงบันดาลใจท่านเหลือเกิน ถึงขนาดท่านบอกว่า หยิบมาอ่านตอนสี่ทุ่ม และต้องอ่านรวดเดียวจบตอนตีสาม และพอจบยังต้องลุกขึ้นมาอุทานบนที่นอนอีกว่า “ถ้าจบแบบนี้ มาฆ่ากันเลยดีกว่า” ฟังแล้วน่าสนใจนะคะ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือแปล มีชื่อว่า “ขุมทรัพย์ สุดปลายฝัน” The Alchemist ของ เปาโล โคเอโญ่ ที่ท่านให้เหตุผลว่า นักเขียนคนนี้เหมือนเล่นไล่จับ เล่นซ่อนหากับคนอ่าน เป็นคนที่มีศิลปะในการเขียนดีมาก พอเราคิดว่า เขาจะโผล่ทางนี้ เขากลับไปโผล่ทางนั้น มีลูกล่อลูกชนและมีเซอร์ไพรส์ทุกมุมบท เรียกได้ว่าพอจบลงไม่เป็นแบบที่ท่านคิด พระอาจารย์จึงต้องลุกมาอุทานแบบนั้นเอง ฟังแล้วน่าสนใจมาก เล่มนี้หนูดีเองก็ยังไม่ได้อ่าน สงสัยว่ากลับกรุงเทพฯ คราวนี้ คงต้องไปหามาอ่านบ้างแล้วล่ะค่ะ เพราะท่านเองก็บอกว่า ไร่เชิญตะวันแห่งนี้ ก็เป็นขุมทรัพย์สุดปลายฝันของท่านเหมือนกัน คือ ทำไว้ได้ดั่งใจ ค่อยๆ ดูแลไป ส่วนปลายทางของท่านที่ฝันไว้ ก็คงไม่ต่างจากพระแทบทุกรูปและพุทธศาสนิกชนนักปฏิบัติทุกคน นั่นก็คือการไปสู่มรรคผลนิพพานนั่นเอง ท่านให้หนูดีแชร์ฝันด้วย หนูดีก็มีฝันเดียวกัน แต่ก็บอกท่านว่า ในฐานะผู้หญิงและเป็นฆราวาสด้วย ชาตินี้คงไม่สามารถบวชเป็นสงฆ์ ความฝันและเป้าหมายในการหลุดพ้นของหนูดี ก็คงให้เป็นไปเมื่อเหตุปัจจัยเหมาะสม ไม่เร่งร้อน ถือเสียว่าหากเรามั่นใจว่า เราเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องที่เขาว่าเป็นทางสายเอก ถ้าเดินไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ต่อให้เดินช้า แต่สักวันก็ต้องถึงเส้นชัย
ส่วนก่อนเวลาฉันเพล หนูดีก็โชคดีได้รับเกียรติจากไกด์สุดกิตติมศักดิ์ คือ ท่าน ว. นั่นเอง พาเดินชมไร่ตั้งแต่หัวไร่ จนท้ายไร่ที่สุดที่สะพานไม้ไผ่สำหรับจงกรม ท่านเองเล่าถึงสถานที่แห่งนี้และความตั้งใจของท่านที่จะทำเป็นพุทธวิชชาลัย สอนด้านพุทธเศรษฐศาสตร์ ซึ่งหนูดีฟังแล้วงง มันคืออะไรคะ สอนเรื่องเงินหรือ ท่านอธิบายเพิ่มว่า เงินก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่พูดถึงเรื่องการบริหารกิเลส การเกษตร สัมมาอาชีวะ ซึ่งตอนนี้ท่านมีเกษตรกรเข้าร่วมอย่างน้อย 500 คนแล้ว ที่นำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติ ตอนนี้ก็กำลังดูว่า จะมีการเพาะปลูกหรือทำกิจกรรมด้านอาชีพใดร่วมกันบ้าง เพื่อเป็นชุมชนต้นแบบให้เรานำมาศึกษาต่อยอดได้ ในวิชชาลัยแห่งนี้ มีหลักสูตรที่น่าสนใจหลายอย่าง หากใครมาเยี่ยม ลองถามไถ่นะคะ น่าจะได้ข้อมูลดีๆ กลับไปบ้านมากมาย
สิ่งหนึ่งที่หนูดีอดใจไว้ ไม่ถามไม่ได้ นั่นก็คือ คนมาปฏิบัติที่นี่ต้องนุ่งชุดขาวหรือไม่คะ เพราะหากท่านได้แรงบันดาลใจมาจากหมู่บ้านพลัม ก็เท่ากับว่า การนุ่งขาวห่มขาวไม่จำเป็น ท่านได้อธิบายว่า ท่านขอให้นุ่งขาวห่มขาว ไม่ใช่เพราะชุดนั้นสำคัญ แต่การนุ่งขาวจะเป็นเหมือนการเตือนใจ ให้คนที่มาปฏิบัติรู้ว่า เขากำลังปฏิบัตินะ เขากำลังถือศีล 8 นะ ซึ่งมันเป็นเหมือนการทำให้วาระนี้เป็นวาระพิเศษ คนจะได้ตั้งใจและรู้สึกว่าต่างจากการอยู่บ้าน ตรงนี้ หนูดีเห็นด้วยมากๆ ค่ะ เพราะสภาพแวดล้อม และสิ่งที่เราสวมใส่ มีผลกับจิตใจและสมองเสมอ ฝรั่งเองก็มีคำพูดน่ารักคล้ายๆ กันว่า ให้แต่งตัวเหมือนตำแหน่งที่เราอยากจะได้ ไม่ใช่ตำแหน่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ เพราะพอใส่ชุดไหนก็เหมือนเราใส่เครื่องแบบ และต้องปรับตัวเข้ากับโหมดนั้นทันที
การได้มาในที่ๆ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ บึงน้ำ สายลมเย็นๆ และมีโอกาสได้ฟังธรรมนั้น มีผลกับจิตใจจริงๆ ค่ะ ใจสงบ เบา สบาย พร้อมจะกลับไปเมืองหลวงและลุยงานต่ออีกสักพัก การได้อยู่กับตัวเอง ท่ามกลางธรรมชาติ เป็นโชคอันประเสริฐจริงๆ ค่ะ หากใครแวะมาเชียงราย นอกจากท่องเที่ยวแล้ว ก็ลองแวะวัดต่างๆ ให้ชื่นใจ และหากมีเวลาสักครึ่งชั่วโมง ก็ลองขับออกนอกเมืองมาสถานภาวนานี้ดูนะคะ ไม่ไกล และเป็นจุดหมายที่เหมาะกับทุกคนในครอบครัวค่ะ


