posttoday

ว่าด้วยการ ‘ขโมยไอเดีย’ และการเลียนแบบ

19 กันยายน 2555

โดย...หนูดี–วนิษา เรซ

โดย...หนูดี–วนิษา เรซ

ในโลกที่การก๊อบปี้ไอเดีย หรือ ก๊อบปี้สินค้ากันนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง หากใครดำเนินธุรกิจ หรือ ออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เป็นการขโมยไอเดียคนอื่นมานั้น มักจะไม่เป็นที่ยอมรับ โดนดูถูก หรือ อาจจะโดนฟ้องร้องได้เสียด้วย

แต่ในสัปดาห์นี้ หนูดีจะขอพาคุณผู้อ่านเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง โลกแห่งสมองที่เราจะต้องลืมกฏเกณฑ์การใช้ชีวิตในโลกมนุษย์แบบที่เราคุ้นชินไปชั่วคราว และก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเรียนรู้ของสมองจริงๆ

สมองเราเรียนรู้โดยการลอกเลียนแบบค่ะ

อึ้ย พูดงี้ได้ไง ผิดกฎหมายนะ คุณผู้อ่านอาจจะคิดแบบนี้

แต่ตอนนี้ เรามาลืมเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ไปก่อนนะคะ และมาดูเด็กเล็กๆ ที่เพิ่งคลอด 1 คน กันดีกว่า

เด็กคนหนึ่ง เรียนรู้ได้ ด้วยการเลียนแบบจริงๆ

เมื่อเขาเห็นพ่อแม่พูดอะไร อย่างไร สมองเด็กจะเลียนแบบและซึมซับหน่วยเสียงไว้แบบชนิดที่เรียกว่า ครบทุกเม็ด ไม่ขาดตกบกพร่อง และภายในเวลาไม่นาน ไม่เกินหนึ่งปีแรกของชีวิต เด็กจะเริ่มพูดภาษาของประเทศที่เขาจะต้องเติบโตต่อไปได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ถูกเก็บไว้ในหัวของเด็ก แต่ยังไม่โชว์ออกมานั้นมีอีกมาก การพูดได้น้อย ไม่ได้หมายความว่า รู้หน่วยเสียงน้อย เด็กทุกคน ซึมซับหน่วยเสียงเอาไว้ มากมายกว่าที่เขาพูดโชว์ให้เราดูในช่วงปีแรกของชีวิตอีกค่ะ

ถ้าไม่ดูเรื่องเสียง มาดูที่หน้าตาก็ได้ หากเราเอาเด็กแบเบาะมาคนหนึ่งและอุ้มเขาเอาไว้ แล้วทำหน้าทำตาประหลาดๆ ใส่เด็ก เราจะพบว่า เด็กจะเริ่มทำตาม เช่น ยิ้มกว้างๆ อ้าปากกว้างๆ แลบลิ้นออกมายาวๆ ทำปากจู๋ๆ ฯลฯ เพราะสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสมองเด็ก และสมองมนุษย์นั้นคือ โดยที่เราไม่รู้ตัว เราจะเริ่มเลียนแบบคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเรา

การทำตัวเหมือนๆ และเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมนั้น เป็นสิ่งที่เราเป็นไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องระมัดระวังในการเลือกสภาพแวดล้อมของเราให้ดี รวมถึงคนที่เราจะเลือกมาเป็นสภาพแวดล้อมของเราด้วย เช่น เพื่อน แฟน เพื่อนร่วมงาน หรือว่า คู่สมรส ถ้าพูดในเชิงสมอง เราจะพบว่า นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ยอมรับว่า สมองถูกกระทบโดยสภาพแวดล้อมจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพ หรือ เรื่องของคนรอบๆ ตัว

มีเพื่อนดี เราก็มักจะดีไปตามเพื่อน เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในมงคล 38 ประการ ว่าในข้อแรกที่สำคัญนั้นก็คือ การเลือกคบเพื่อนคบคนที่เป็นมงคลหรือว่ากัลยาณมิตรนั่นเอง หรืออีกข้อที่น่าสนใจในเรื่องของคนรอบตัว ก็คือหากเรานำเงินเดือนของเพื่อนสนิทใกล้ตัวที่สุดของเรามา 6 คน มาเฉลี่ยแล้ว มักจะได้ใกล้เคียงกับเงินเดือน หรือรายได้ที่เรารับอยู่ในตอนนี้เลย ซึ่งนี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจว่า เพราะเราเป็นคนแบบนี้ เราจึงเลือกคบเพื่อนแบบนี้ หรือว่า เราเป็นแบบนี้ เพราะเราคบเพื่อนกลุ่มนี้กันแน่ ฟังดูสับสน แต่ลองพิจารณานะคะ ความจริงข้อนี้ น่ากลัวทีเดียว เราก็คือผลผลิตของสภาพแวดล้อมที่เราเลือกอยู่อาศัยนั่นเอง เราก๊อบปี้สภาพแวดล้อมของเราค่ะ

กลับมาที่เรื่องของการ “ก๊อบปี้” กับการเรียนรู้ของสมองกันต่อนะคะ

มันช่างเป็นธรรมชาติของสมองจริงๆ ที่เราเห็นอะไรที่ชอบ และเราจะเริ่มทำตามในทันที แต่การก๊อบปี้ก็มีหลายรูปแบบแตกต่างกันไป ทั้งที่ดี ที่ไม่ดี ที่สังคมยอมรับ และที่สังคมไม่ยอมรับ

ว่าด้วยการ ‘ขโมยไอเดีย’ และการเลียนแบบ

 

การก๊อบปี้แบบที่สังคมยอมรับ

การเลือกทำตัวมีพฤติกรรมตามแบบที่ดีๆ เช่น การตั้งใจเรียนตามเพื่อนที่เก่งๆ

การเลือกเพื่อนร่วมงานที่มีวิถีชีวิตที่ดีกับสุขภาพและทำตัวตามเขา เช่น เลิกงานแล้วไม่ไปดื่มเหล้าต่อ หรือไม่สนับสนุนในการที่เพื่อนมีกิ๊กแล้วบอกว่าเป็นเรื่องเท่

การมีไอดอลมีคนที่เป็นแรงบันดาลใจที่เราสามารถทำตามเขาในบางส่วนได้ เช่น คนที่เคยล้มละลายแล้วกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้ไม่ยอมแพ้ หรือคนที่ต้องพิการโดยไม่วางแผนมาก่อนและไม่ยอมแพ้โชคชะตา เราสามารถก๊อบปี้พลังแห่งความสู้ชีวิตนี้ได้

การลอกเลียนวิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ของคนที่เราชอบ เช่น การรับประทานอาหารสุขภาพ หรือการเดินทางท่องเที่ยวในแบบที่สนุกและมีสีสันปลอดภัยและประหยัด

การก๊อบปี้แบบที่สังคมไม่ยอมรับ

การก๊อบปี้ไอเดียของคนอื่น และนำเอามาเป็นของตัวเอง โดยไม่บอกที่มาที่ไป ไม่ให้เครดิตเจ้าของไอเดียนั้นๆ

การก๊อบปี้สินค้า ทำตามไอเดียของคนอื่น และนำมาขายแข่งกันในตลาด ทำให้เจ้าของดั้งเดิมหรือคนคิดค้นคนแรกต้องเสียผลประโยชน์

การก๊อบปี้แนวคิดหรือคำพูดแล้วนำมาใช้โดยไม่บอกว่า ใครเป็นเจ้าของคำพูดนั้น ทำเหมือนกับว่าเป็นคำพูดและเป็นวิธีคิดของเราเอง

ในการที่เราจะเริ่มทำตัวตามธรรมชาติสมองนั้น เราก็ต้องมานั่งคัดสรร และเลือกพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ หรือการขโมยไอเดียที่เป็นที่ยอมรับของสังคม และเป็นการลอกเลียนที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ไม่เบียดเบียนคนอื่นๆ รอบตัว และไม่ทำให้เราต้องมีปัญหากับกฏหมายด้วยจะดีที่สุดค่ะ

การเลียนแบบรูปแบบหนึ่ง ที่คนมักนิยมทำและหลายคนก็ทำจนประสบความสำเร็จในชีวิต ก็คือ การเลียนแบบบุคลิกภาพของคนที่เราประทับใจ เช่น นักพูดดังๆ ในอเมริกาก็ใช้วิธีนี้ในการพัฒนาตัวเองกันเยอะมาก แต่ในการเลียนแบบนั้น ด้วยน้ำเสียงและรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนกัน ก็เลยทำให้แต่ละคนออกมามีลักษณะเฉพาะของตัวเอง

ว่ากันว่า จอนนี่ คาร์สัน พยายามจะลอกเลียนแบบ แจ็ค เบนนี่ แต่ทำได้ไม่เหมือนเป๊ะ เขาก็เลยกลายเป็น จอนนี่ คาร์สัน ส่วนเดวิด เลตเตอร์แมน พยายามลอกเลียนแบบ จอนนี่ คาร์สัน แต่ทำได้ไม่เหมือน เขาก็เลยกลายเป็น เดวิด เลตเตอร์แมน ส่วน โคแนน โอไบรอัน พยายามเป็น เดวิด เลตเตอร์แมน แต่ทำได้ไม่เหมือนเป๊ะ เขาก็เลยกลายเป็น โคแนน โอไบรอัน

เรื่องราวของการลอกเลียนแบบบุคลิก วิธีคิด และวิธีพูดนั้น เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ เพื่อพัฒนาลักษณะบุคลิกของเราเอง แต่เนื่องจากกล่องเสียงและกล้ามเนื้อร่างกาย รวมถึงรูปร่างหน้าตาของพวกเราไม่มีใครเหมือนกัน เราจึงต่างกลายมาเป็นตัวของตัวเอง ในรูปแบบของตัวเอง ในตอนจบแบบไม่มีใครเหมือนใคร

การลอกเลียนนั้น มีหลายชนิดหลายประเภท บางสิ่งเป็นที่ยอมรับ และบางสิ่งก็ไม่เป็นที่ยอมรับของกฎหมายและสังคม แต่เพียงเราลองหันมามอง “การลอกเลียนแบบ” อย่างไม่มีอคติ เราก็จะพบว่า นี่เป็นหนึ่งในวิธีเรียนรู้ของสมองที่ทรงพลังทีเดียวค่ะ

ขอให้เราลองเลือกการ “ลอกเลียน” อย่างสร้างสรรค์แล้วเราจะพบว่า ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่เรานึกไม่ถึงเลยทีเดียว

ในเดือน ต.ค ที่จะถึงนี้ ใครสนใจฝึกสมาธิในเดือน ต.ค.ช่วงปิดภาคเรียนนี้ มี 2 งานที่ดีค่ะ คือวันที่ 5-7 ต.ค. การฝึกสมาธิและการบำบัดสุขภาพแนวเต๋า สมัคร www.daodexinxi.org และค่าย “ธรรมเป็นเล่นไป” ของหมู่บ้านพลัม พุทธสายเซน สำหรับเยาวชน ในวันที่ 12-14 ต.ค. สมัครที่ www.thaiplumvillage.org ขอให้มีความสุขกันทุกๆ คนค่ะ

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี