เมฆสุกใส
เมฆสุกใส (Noctilucent Cloud; อักษรย่อ NLC หรือ Polar Mesospheric Cloud; อักษรย่อ PMC) เป็นปรากฏการณ์ในบรรยากาศชั้นบนของโลก คนที่อยู่บนพื้นโลก โดยเฉพาะบริเวณละติจูดสูงๆ ในซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ มีโอกาสเห็นเมฆที่ดูเหมือนส่องสว่างเรืองเป็นสีขาวหรือสีฟ้า ลอยอยู่บนท้องฟ้าเวลากลางคืน เห็นได้ในช่วงหลังจากดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว หรือก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น แท้จริงแล้วมันอยู่บนท้องฟ้าเวลากลางวันด้วย แต่จางเกินกว่าจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องอาศัยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ และสังเกตจากที่มืด
เมฆสุกใส (Noctilucent Cloud; อักษรย่อ NLC หรือ Polar Mesospheric Cloud; อักษรย่อ PMC) เป็นปรากฏการณ์ในบรรยากาศชั้นบนของโลก คนที่อยู่บนพื้นโลก โดยเฉพาะบริเวณละติจูดสูงๆ ในซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ มีโอกาสเห็นเมฆที่ดูเหมือนส่องสว่างเรืองเป็นสีขาวหรือสีฟ้า ลอยอยู่บนท้องฟ้าเวลากลางคืน เห็นได้ในช่วงหลังจากดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว หรือก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น แท้จริงแล้วมันอยู่บนท้องฟ้าเวลากลางวันด้วย แต่จางเกินกว่าจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องอาศัยแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ และสังเกตจากที่มืด
คำว่า Noctilucent มาจากภาษาละติน หมายถึงส่องสว่างในเวลากลางคืน รายงานการเห็นเมฆสุกใสปรากฏครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1885 นับเป็นเวลา 2 ปี หลังการระเบิดของภูเขาไฟกรากะตัวในอินโดนีเซีย ทำให้มีความเชื่อว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเถ้าธุลีภูเขาไฟและไอน้ำที่ลอยสูงขึ้นไปในบรรยากาศ แต่เมฆชนิดนี้ก็ยังคงปรากฏให้เห็นได้เป็นระยะๆ ต่อมาจนถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มพบเห็นได้บ่อยขึ้น
เมฆสุกใสอยู่เหนือท้องฟ้าบริเวณขั้วโลกทั้งสอง ทำให้พื้นที่บนโลกที่มีโอกาสเห็นเมฆชนิดนี้ได้ดีที่สุดอยู่ระหว่างละติจูด 50-65 องศา ทั้งเหนือและใต้ นานๆ จึงจะพบรายงานการเห็นจากละติจูดที่ต่ำกว่านั้น มักสังเกตได้ในช่วงฤดูร้อนของแต่ละซีกโลก ซีกโลกเหนืออยู่ในช่วงกลางเดือน พ.ค. ถึงกลางเดือน ส.ค. ซีกโลกใต้อยู่ในช่วงกลางเดือน พ.ย. ถึงกลางเดือน ก.พ. สาเหตุที่ไม่สามารถสังเกตเมฆสุกใสได้ในละติจูดที่สูงกว่า 65 องศาก็เพราะบริเวณนั้นจะเกิดอาทิตย์เที่ยงคืน (ดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง) ในฤดูร้อน
ผู้สังเกตบนพื้นโลกจะเห็นเมฆสุกใสได้เฉพาะในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ต่ำกว่าขอบฟ้าเป็นมุม 6-16 องศา อันเป็นเวลาที่ท้องฟ้าบริเวณจุดสังเกตการณ์มืดลงพอสมควรแล้ว แต่แสงอาทิตย์ยังคงส่องกระทบเมฆที่อยู่สูงในบรรยากาศชั้นบน
การที่มีรายงานพบเห็นเมฆสุกใสเป็นครั้งแรกในช่วงหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม และดูเหมือนว่าหลังทศวรรษ 1950 เป็นต้นมาจะมีการพบเห็นเมฆสุกใสได้บ่อยขึ้น จึงมีผู้เสนอทฤษฎีว่ามันอาจเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก หรือภาวะโลกร้อน นอกจากนั้น รายงานการพบเห็นเมฆสุกใสในซีกโลกเหนือที่พบได้บ่อยกว่าซีกโลกใต้ ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่ซีกโลกเหนือมีพื้นดินและมีคนอาศัยอยู่มากกว่า
การสำรวจด้วยดาวเทียมยูอาร์ส (Upper Atmosphere Research Satellite หรือ UARS) เมื่อ พ.ศ. 2544 ยืนยันว่าองค์ประกอบหลักที่ทำให้เกิดเมฆชนิดนี้คือผลึกน้ำแข็งในตอนบนของบรรยากาศชั้นเมโซสเฟียร์ (Mesosphere)อยู่เหนือพื้นโลกราว 80 กิโลเมตร ใกล้เมโซพอส (Mesopause) ซึ่งคั่นระหว่างบรรยากาศชั้นเมโซสเฟียร์กับเทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) ที่อยู่สูงกว่า บริเวณนั้นมีอุณหภูมิต่ำมาก เฉลี่ยราว85 องศาเซลเซียส และอาจต่ำถึง 130 องศาเซลเซียส เมฆสุกใสจึงอยู่สูงกว่าเมฆที่พบเห็นได้ทั่วไป
ผู้คนมักถามว่า เหตุใดจึงพบเห็นเมฆสุกใสได้เฉพาะในฤดูร้อน ทั้งๆ ที่มันเกิดภายใต้อุณหภูมิต่ำ เจมส์ รัสเซลล์ นักวิทยาศาสตร์ด้านบรรยากาศจากมหาวิทยาลัยแฮมป์ตัน อธิบายว่า ในฤดูร้อน มวลอากาศใกล้พื้นดินจะร้อนแล้วลอยตัวสูงขึ้น ความกดอากาศที่ลดลงเรื่อยๆ ตามความสูงเหนือพื้นดิน ทำให้มวลอากาศนั้นขยายตัว การขยายตัวดังกล่าวยิ่งทำให้อุณหภูมิของมวลอากาศลดลง กระบวนการนี้และกระบวนการอื่นในบรรยากาศชั้นบน ผลักให้มวลอากาศนั้นลอยสูงขึ้นและทวีความเย็นมากขึ้นอีก อุณหภูมิอากาศในเมโซสเฟียร์จึงต่ำมาก
พ.ศ. 2549 องค์การอวกาศยุโรป หรืออีซา รายงานว่า ยานมาร์สเอกซ์เพรส (Mars Express) ซึ่งอยู่ในวงโคจรรอบดาวอังคาร ได้ค้นพบเมฆที่ความสูง 80-100 กิโลเมตร เหนือพื้นผิวดาวอังคาร โดยสังเกตจากแสงของดาวฤกษ์ที่หรี่ลงใกล้ขอบดาวอังคาร ก่อนที่จะถูกดาวอังคารบัง คาดว่ามีลักษณะคล้ายเมฆสุกใสที่อยู่บนโลก คือจางและเบาบางมาก แต่เป็นผลึกของคาร์บอนไดออกไซด์
พ.ศ. 2550 องค์การนาซาส่งดาวเทียมเอม (Aeronomy of Ice in the Mesosphere หรือ AIM) ขึ้นไปศึกษาเมฆสุกใส โดยโคจรอยู่ในวงโคจรที่ผ่านขั้วโลกทั้งสอง พบว่าเมฆสุกใสมีลักษณะคล้ายเมฆในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) การเคลื่อนที่จึงน่าจะคล้ายคลึงกัน ปัจจัยสำคัญต่อการก่อตัวของเมฆชนิดนี้ ได้แก่ ไอน้ำ อุณหภูมิที่ต่ำมากๆ และอนุภาคฝุ่นขนาดเล็ก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากนอกโลกในรูปของฝุ่นสะเก็ดดาว รายงานเมื่อ พ.ศ. 2546 ยังพบด้วยว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณไอน้ำทั้งหมดที่เกิดจากการยิงจรวดปล่อยกระสวยอวกาศขึ้นจากฐานส่งยานที่ชายฝั่งฟลอริดา ใช้เวลาเพียงวันเศษในการเคลื่อนไปสู่เขตอาร์กติก และเป็นสาเหตุทำให้เกิดเมฆสุกใสได้ด้วย
ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (9-16 ก.ย.)
ดาวอังคารกับดาวเสาร์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าทิศตะวันตกในเวลาหัวค่ำ ดาวเสาร์อยู่ต่ำกว่าและเยื้องไปทางขวามือของดาวอังคาร สังเกตได้ว่าดาวเสาร์สว่างกว่าเล็กน้อย อยู่ใกล้ดาวรวงข้าว ซึ่งเป็นดาวฤกษ์สว่างในกลุ่มดาวหญิงสาว ดาวอังคารอยู่ในกลุ่มดาวคันชั่ง ทางทิศตะวันออกของกลุ่มดาวหญิงสาว ดาวเคราะห์ทั้งสองเคลื่อนห่างออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ กลางสัปดาห์ ดาวเสาร์ตกลับขอบฟ้าในเวลา 2 ทุ่มครึ่ง ดาวอังคารตกตามไปหลังจากนั้นราวครึ่งชั่วโมง
ดาวพฤหัสบดีอยู่ในกลุ่มดาววัว ลอยสูงขึ้นมาอยู่เหนือขอบฟ้าทิศตะวันออกที่มุมเงย 10 องศาในเวลาเที่ยงคืน จากนั้นราวตี 3 ครึ่ง จะเริ่มเห็นดาวศุกร์อยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกับจุดที่เห็นดาวพฤหัสบดีขึ้นก่อนหน้านั้น วันที่ 13-14 ก.ย. ดาวศุกร์จะผ่านใกล้กระจุกดาวรังผึ้ง ซึ่งเป็นกระจุกดาวเปิดในกลุ่มดาวปู ห่างกัน 2 องศา การสังเกตกระจุกดาวอาจทำได้ยากด้วยตาเปล่า เนื่องจากแสงดาวศุกร์สว่างมากจนกลบแสงของกระจุกดาว จึงต้องใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์กำลังขยายต่ำช่วยส่องดู
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างในเวลาเช้ามืด ดาวพฤหัสบดีจะขึ้นไปอยู่สูงเหนือศีรษะ ส่วนดาวศุกร์ทำมุมสูงเหนือขอบฟ้าราว 30 องศา สามารถสังเกตได้จนกระทั่งแสงท้องฟ้ากลบแสงของดาวศุกร์
สัปดาห์นี้เป็นครึ่งหลังของข้างแรม ดวงจันทร์อยู่บนท้องฟ้าทิศตะวันออกในเวลาเช้ามืด วันพฤหัสบดีที่ 13 ก.ย. จะเห็นจันทร์เสี้ยวอยู่ทางด้านล่าง ค่อนไปทางขวามือของดาวศุกร์ที่ระยะห่าง 6 องศา เช้ามืดวันถัดไป ดวงจันทร์เคลื่อนต่ำลง ไปอยู่ใกล้ดาวหัวใจสิงห์ในกลุ่มดาวสิงโตที่ระยะห่าง 8 องศา จากนั้นดวงจันทร์เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ผ่านตำแหน่งจันทร์ดับในวันที่ 16 ก.ย.


