"ประทับใจไม่รู้ลืม" คอนเสิร์ตสายสัมพันธ์สองแผ่นดินครั้งที่ 5
ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงบรรเลงเครื่องดนตรีกู่เจิง
โดย...วราภรณ์
ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงบรรเลงเครื่องดนตรีกู่เจิง ร่วมกับวงดุริยางค์ราชนาวี และ อ.ฉางจิ้ง พระอาจารย์ชาวจีนที่มีชื่อเสียงติดอันดับ 1 ใน 4 ของจีนที่เล่นกู่เจิงไพเราะที่สุดในการแสดงทางวัฒนธรรม “สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน” ครั้งที่ 5 เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา เสร็จสิ้นลงไปอย่างงดงามเมื่อปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีผู้ชมจองบัตรเข้าชมเต็มทุกรอบ ทั้งที่กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น และสงขลา
หลังเสร็จสิ้นการแสดงคอนเสิร์ต ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชทานสัมภาษณ์แด่คณะสื่อมวลชน ร่วมกับ อ.ฉางจิ้ง พระอาจารย์สอนกู่เจิง ในความสำเร็จของการแสดงคอนเสิร์ตสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน ครั้งที่ 6 ที่มีกำหนดจัดขึ้นที่จีน เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนที่กำหนดจะจัดขึ้นในปีหน้า
พระองค์พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตอบคำถามเกี่ยวกับความประทับใจ และพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรกับการซ้อมที่ผ่านมา ทรงใช้เวลาซ้อมนานแค่ไหน พระองค์ทรงรับสั่งตอบว่า การแสดงครั้งนี้ใช้เวลาซ้อมไม่นานเท่าไหร่ เดือน ก.ค. ต้องซ้อมหนัก แต่เนื่องจากพระองค์ทรงโดนมีดบาดที่นิ้วพระหัตถ์ จึงทรงซ้อมหนักไม่ได้
“ตอนนั้นเลือดที่นิ้วไหลไม่หยุดเป็นวันๆ คุณหมอพันนิ้วไว้ แล้วบอกว่าห้ามเล่นกู่เจิงจนกว่านิ้วจะหาย ก็เลยไม่ได้ซ้อม จนกระทั่ง อ.ฉางจิ้ง มาตอนปลายเดือน ก.ค. จึงได้ซ้อม ได้เล่น ก็เลยซ้อมหนักตอนที่ อ.ฉางจิ้ง มาแล้ว อาจารย์ช่วยแนะเคล็ดลับของการซ้อม ซ้อมอย่างไรที่จะทำให้จำได้ และเล่นได้คล่อง เป็นการแสดงที่ใช้เวลาซ้อมในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น”
ในฐานะทรงเป็นทูตวัฒนธรรมของจีน การแสดงสายสัมพันธ์สองแผ่นดินจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนได้อย่างไร พระองค์รับสั่งว่า การแสดงคอนเสิร์ตสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของทั้งไทยและจีนได้มาก เพราะทรงได้นำการแสดงของจีนมาให้คนไทยได้ดู ส่วนปีหน้าจะเป็นปีที่จะไปแสดงที่เมืองจีน ก็จะทรงนำการแสดงของไทยไปให้ชาวจีนดูเช่นเดียวกัน ถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
“แต่จริงๆ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีนไม่ต้องมีสายสัมพันธ์สองแผ่นดินก็แน่นแฟ้นอยู่แล้ว เพราะคนไทยคนจีนก็เหมือนเป็นญาติกัน มีคนจีนที่มาตั้งรกรากในไทยมากมาย จนกลายเป็นคนไทยไปแล้ว ก็เลยแยกไม่ออกระหว่างไทยจีน นับว่าเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง”
สำหรับความประทับใจในการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ ทรงประทับใจในทีมงานที่ช่วยทำทุกอย่าง ทุกแผนก เช่น แผนกดนตรี แสง สี เสียง ทุกคนสามัคคีกันมาก ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และไม่เหนื่อยมากจนเกินไป
ขณะที่พระราชทานสัมภาษณ์ทรงรับสั่งชื่นชมความสามารถในการแสดงกู่เจิงของ อ.ฉางจิ้ง ว่า ขณะที่ทรงแสดงคอนเสิร์ตอยู่บนเวทีที่พระองค์ทำผลงานได้ดี และทรงไม่รู้สึกกดดันขณะที่ทรงแสดงบนเวทีนั้น เพราะทรงรู้สึกเบาพระทัยที่มี อ.ฉางจิ้ง นั่งเล่นกู่เจิงอยู่ข้างๆ และเพลงที่ไพเราะทั้งหมด อ.ฉางจิ้ง และสามีเป็นผู้แต่งทำนอง อาทิ เพลงวันวาน เพลงธารสวรรค์ใต้จันทร์เพ็ญ เพลงพิสุทธิ์ ฯลฯ ก็ทรงนำมาแสดงในคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย
“นอกจากจะเป็นอาจารย์ที่ดีแล้ว อาจารย์ยังเป็นอาจารย์ที่น่ารักมาก ฉันบอกได้เลยว่าอาจารย์คนนี้ฉันรักมาก”
สำหรับการแสดงสายสัมพันธ์สองแผ่นดินครั้งที่ 6 ที่มีกำหนดจะจัดขึ้นในปีหน้า แม้พระองค์ยังไม่ได้ทรงวางแผนที่แน่นอนและยังไม่ทรงเลือกเพลงไว้ในพระทัย แต่ทรงคิดไว้ว่าคงมีเพลงร้องที่เป็นภาษาไทยสัก 2 เพลง เพลงจีน 1-2 เพลง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
“กำลังปรึกษากับ อ.ฉางจิ้ง อยู่ว่าจะเอาอย่างไรกันดี เดี๋ยวเดือนหน้าจะไปพบกับอาจารย์ที่เมืองจีน ก็จะไปปรึกษากันในรายละเอียดอีกทีว่าจะร้องเพลงอะไรบ้าง สำหรับเรื่องการแสดง กำลังปรึกษากับคุณบุรณี รัชไชยบุญ ซึ่งเป็นผู้กำกับว่า ไม่อยากให้เป็นการแสดงที่ซ้ำๆ ที่เขาเคยเห็นมาแล้ว เช่น ระบำ 4 ภาค นางฟ้ารำอวยพร เขาเห็นบ่อยมากแล้ว เราน่าจะมีอะไรที่แปลกใหม่ อาจต้องใช้คนรุ่นใหม่นำเสนออะไรใหม่ๆ เพราะที่จีนนี้เราจะเห็นว่าท่าเต้นก็ไม่ใช่ท่าเต้นจีนโบราณ แต่เป็นท่าเต้นที่โมเดิร์น แดนซ์ มาปรับเปลี่ยนกับเครื่องแต่งกายแบบจีน ทำให้ดูสวยงาม”
เนื่องจากการแสดงครั้งนี้เป็นการหารายได้ พระราชทานเพื่อสมทบทุนมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากประชาชนคนไทย ทรงรับสั่งเกี่ยวกับมูลนิธิ พอ.สว. ว่าเป็นหน่วยแพทย์ที่สมเด็จย่าทรงตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 โดยทรงตั้งหน่วยแพทย์ในจังหวัดที่ทุรกันดาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจังหวัดชายแดนซึ่งยากจน เช่น ทางภาคเหนือ อีสาน แต่ปัจจุบันมีหน่วยแพทย์ พอ.สว.ทั้งหมดแล้วตั้งแต่พระองค์ทรงเข้ามาเป็นองค์ประธานกิตติมศักดิ์
“เมื่อก่อนบางจังหวัดไม่มีหน่วยแพทย์ เรามาดำเนินการให้จนมีหมดแล้ว แต่ภาคกลางไม่ค่อยมี พอ.สว.เท่าไหร่ ยังพูดกับ พอ.สว.ว่า จริงๆ แล้วภาคกลางควรมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เหมือนกัน เพราะถึงคราวลำบากจริงๆ จะไม่มีคนช่วยหากไม่มีหน่วยแพทย์ พอ.สว. อย่างน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ฉันเอาหน่วยแพทย์ พอ.สว.มาออกหน่วยให้ในจังหวัดภาคกลางที่น้ำท่วม เช่น อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี อุทัยธานี จังหวัดเหล่านี้ไม่มี พอ.สว. ต้องเอาหน่วยแพทย์มาจากราชบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ มาออกหน่วยแพทย์ให้ ซึ่งเขาเต็มใจมากัน และบางจังหวัดที่เขาน้ำไม่ท่วมแต่อยู่ใกล้ ก็อยากมาช่วย เราก็ให้มา”
หลายครั้งแล้วที่ อ.ฉางจิ้ง ได้แสดงคอนเสิร์ต “สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน” ร่วมกับ ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี แต่การแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้เธอรู้สึกประทับใจ และรู้สึกผูกพันกับการแสดงสายสัมพันธ์สองแผ่นดินมาก เนื่องจากตั้งแต่ได้พบกับพระองค์ตั้งแต่ปี 2001 จนถึงปัจจุบันก็เป็นประจักษ์พยานของการพัฒนางานสายสัมพันธ์ 2 แผ่นดินมาเป็นระยะๆ
งานสายสัมพันธ์สองแผ่นดิน ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงถ่ายทอดดนตรีกู่เจิงแล้ว ก็ยังทรงถ่ายทอดวัฒนธรรมจีนให้คนไทยได้รู้จัก แล้วยังเป็นการถ่ายทอดการแสดงศิลปะของไทยด้วย ซึ่งจะทำให้ชาวจีนได้รู้จักวัฒนธรรมของไทยเช่นกัน นอกจากจะเป็นการเรียนรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรมทั้งสองทางแล้ว ดนตรียังนำความรู้สึกที่ดีฉันมิตรระหว่างสองประเทศด้วย
“ดิฉันอยากขอบพระทัยทูลกระหม่อมที่ได้ทรงทุ่มเทอย่างมากในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ทรงกู่เจิงใหม่ๆ มาจนถึงปัจจุบันที่ทรงสามารถขึ้นไปแสดงบนเวทีได้อย่างชำนาญ และสามารถใช้กู่เจิงถ่ายทอดวัฒนธรรมจีนให้คนไทยได้รู้จักเครื่องดนตรีกู่เจิง ก็เป็นที่ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก”
อ.ฉางจิ้ง ยังได้เล่าถึงความผูกพันในฐานะที่เป็นพระอาจารย์สอนกู่เจิงถวายแด่ ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เธอรู้จักและได้ทรงสอนกู่เจิงกับทูลกระหม่อมมาเป็นระยะเวลานานนับ 10 ปีแล้ว เริ่มต้นในฐานะอาจารย์สอนกู่เจิง แต่เมื่อได้สอนไปสอนมาก็กลายเป็นพระสหายที่สนิทกันไปแล้ว
“เรามีการพูดคุยเล่นกัน มีการพูดถึงความหมายของเพลงว่าถ่ายทอดในอารมณ์แบบไหน ตอนหลังมาพบว่าดิฉันกับทูลกระหม่อมมีความชอบในลักษณะดนตรีที่คล้ายกัน มีความชอบในความงดงามและความบริสุทธิ์ของอารมณ์และดนตรีที่ถ่ายทอดออกมาคล้ายๆ กัน อย่างที่ดิฉันแต่งเพลงให้ในคอนเสิร์ต ดิฉันแต่งเพลงและทำนองในฐานะที่เป็นเหมือนพระสหายที่รู้ใจคนหนึ่ง ก็อยากแต่งเพลงที่ถ่ายทอดอารมณ์ที่รู้ว่าทูลกระหม่อมน่าจะชอบเพลงสไตล์นี้ ก็รู้สึกดีใจมากที่สามารถใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการช่วยให้ได้เพื่อนสนิทที่รู้ใจ”
อย่างไรก็ดี อ.ฉางจิ้ง เล่าว่า ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นลูกศิษย์ที่มีพระปรีชามากทางการเล่นกู่เจิง และเธอรู้สึกประหลาดใจในความพยายามของทูลกระหม่อมในการทรงกู่เจิง เพราะกู่เจิงเป็นเครื่องดนตรีโบราณจีนที่เล่นยากมาก
“ดิฉันรู้สึกประหลาดใจในความพยายามในการเล่นกู่เจิงของทูลกระหม่อม ดิฉันจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งดิฉันได้เปิดเพลงให้ทูลกระหม่อมดูการแสดงคอนเสิร์ตของดิฉันในเพลงลมหนาวโปรยปรายในการเรียนกู่เจิงวันที่ 1 ซึ่งทูลกระหม่อมโปรดมาก ดิฉันจึงเขียนวิธีการออกเสียงเป็นภาษาจีนถวายทูลกระหม่อม พอวันรุ่งขึ้นดิฉันเข้าไปถวายการสอนเป็นวันที่ 2 ดิฉันก็ได้ยินทูลกระหม่อมทรงร้องเพลงนี้เป็นภาษาจีนและออกเสียงได้อย่างถูกต้องชัดเจนมาก ดิฉันจึงรู้สึกแปลกใจมากที่ทรงร้องได้ในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน และดิฉันรู้สึกว่าทูลกระหม่อมทรงทุ่มเทมากกับการเรียนกู่เจิง ดิฉันจึงจำเป็นที่จะต้องพยายามสอนทูลกระหม่อมดีๆ ดังนั้นภารกิจหลักๆ ของดิฉันมี 2 อย่าง คือ ถวายการสอนกู่เจิงให้ทูลกระหม่อมทรงกู่เจิงได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป และก็หวังว่าจะช่วยทูลกระหม่อมให้หาความสุขจากดนตรีที่เล่นได้”


