posttoday

จากอุทัยฯถึงบึงกาฬ

25 สิงหาคม 2555

ผมต้องเดินสายไปช่วยทำการตลาดให้พี่น้องแวดวงท่องเที่ยวบ่อยๆ แม้หลายแห่งจะไปซ้ำไปซ้ำมาก็ต้องไป เพราะขัดใจพี่น้องไม่ได้ สัปดาห์ที่ผ่านมาเดินสายไป จ.อุทัยธานี เพื่อช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวของที่นั่น กลับมานอนบ้านได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องบินไป จ.อุดรธานี จากอุดรฯ ก็ไปบึงกาฬ เพื่อฟังผู้ว่าราชการจังหวัดแถลงข่าวการจัดงานแข่งเรือไทยลาว ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สารคดีของผมฉบับนี้ จึงควบ จ.อุทัยธานี กับ จ.บึงกาฬ เข้าด้วยกัน เพื่อใช้หนี้ทีเดียว 2 จังหวัด

ผมต้องเดินสายไปช่วยทำการตลาดให้พี่น้องแวดวงท่องเที่ยวบ่อยๆ แม้หลายแห่งจะไปซ้ำไปซ้ำมาก็ต้องไป เพราะขัดใจพี่น้องไม่ได้ สัปดาห์ที่ผ่านมาเดินสายไป จ.อุทัยธานี เพื่อช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวของที่นั่น กลับมานอนบ้านได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องบินไป จ.อุดรธานี จากอุดรฯ ก็ไปบึงกาฬ เพื่อฟังผู้ว่าราชการจังหวัดแถลงข่าวการจัดงานแข่งเรือไทยลาว ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สารคดีของผมฉบับนี้ จึงควบ จ.อุทัยธานี กับ จ.บึงกาฬ เข้าด้วยกัน เพื่อใช้หนี้ทีเดียว 2 จังหวัด

แม้จะเป็นเมืองเกษตรด้วยกันทั้งคู่ แต่เกษตรอุทัยฯ กับเกษตรบึงกาฬก็แตกต่างกัน แตกต่างตรงที่เกษตรอุทัยฯ มีอ้อยและข้าวเป็นพืชหลัก ส่วนเกษตรบึงกาฬมียางและข้าว

อุทัยฯ อาจจะมีภาษีดีกว่าบึงกาฬก็ตรงที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่มีกำลังซื้อที่มากกว่า นอกจากมีห้วยขาแข้งแบ็กอัพแล้ว ยังมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย อาหารสดเป็น “จุดขาย” ส่วนบึงกาฬแม้โดยตัวของจังหวัดเองจะไม่มีสินค้าการท่องเที่ยวโดดเด่น ยกเว้นบั้งไฟพญานาค แม่น้ำโขงและพื้นที่ชุ่มน้ำแล้ว วัดป่าก็ยังไม่สามารถดึงดูดผู้คนได้มาก ดังนั้นบึงกาฬจึงต้องอาศัย Destination แขวง “บริคำไซย” ของลาวมาขายพ่วงด้วยจึงจะได้ยอด

จากอุทัยฯถึงบึงกาฬ

 

ท่านผู้ว่าฯ พรศักดิ์ เจียรณัย คุยกับผมว่า ท่านไม่รีบร้อนส่งเสริมการท่องเที่ยวบึงกาฬ เพราะต้องสร้างบ้านสร้างเมืองที่เพิ่งถูกอนุมัติให้เป็นจังหวัดให้เสร็จก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง ผมก็ว่ายังไม่ค่อยถูกต้องเสียทีเดียว เพราะแม้จะยุ่งเราก็ใช้หน่วยงานอย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ช่วยทำให้ได้ ขอให้มีเงินมาช่วยสนับสนุนก็แล้วกัน เพราะตอนนี้ ททท.ตามภาคส่วนต่างๆ ถูกดึงงบคืนกลับไปให้ส่วนกลางกันจังหวัดละหลายแสนบาท จนหลายแห่งล้อเลียนกันว่าต่อไป ททท.ตามจังหวัดต่างๆ จะปิดไฟทำงานกัน ผมก็หวังว่างบที่ถูกดึงกลับไปนั้น ไม่ถูกนักการเมืองเอาไป “งาบ” นะครับ!

โจทย์ที่รัฐบาลให้แก่องค์กรการท่องเที่ยว คือต้องทำเป้า 2 ล้าน ล้านบาท ให้ได้ในปี 2558 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ก็ส่งต่อโจทย์ให้สำนักงานตามต่างจังหวัดไปทำตัวเลขต่อ หลายสำนักงานจึงไปส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้าไปไหว้พระในวัดต่างๆ เพื่อทำยอด แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับการเอาพระ 9 วัด หรือกี่ร้อยวัดมาขายก็ตาม เพราะเห็นว่าศาสนาเป็นเรื่องของการเข้าถึงสัจธรรมไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเป็นสินค้าเพื่อขายก็ตาม แต่ด้วยบริบทของการปกครองที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ผมจึงไม่ได้ต่อต้านเรื่องนี้ ในเมื่อเราขาย Destination กันจนไม่มีอะไรจะขายแล้ว จะเอาศาสนามาขายกินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรให้คนที่ไปเที่ยววัดไม่ไปติดกับ “รูปแบบ” เข้าไป “ซื้อบุญ” กันโดยที่ไม่เข้าถึงแก่นของศาสนา

วัดอุทัยธานีที่เห็นแล้วน่าศรัทธาก็คือ วัดหนองหญ้านาง แม้ว่าความดังทางธรรมไม่เท่ากับวัดสายหลวงพ่อชา สายของท่านประยุทธ์ ปยุตฺโต สายของท่านพุทธทาส แต่วัดนี้ก็ช่วยเหลือประชาชนด้วยการใช้การนวดเพื่อรักษาคนป่วย ส่วนวัดอื่นๆ ที่คนเข้าไปกันเยอะผมยังไม่เห็นใครพูดถึงธรรม มีแต่จะให้ญาติโยมเอาเงินมา “ซื้อบุญ” สร้างโน่นสร้างนี่

จากอุทัยฯถึงบึงกาฬ

 

อีกวัดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ วัดอุโปสถาราม ที่ตั้งอยู่ริมน้ำสะแกกรัง ที่น่าสนใจเพราะมีภาพวาดฝาผนังในสมัยรัตนโกสินทร์สวยงาม วัดที่น่าสมเพชก็ คือ วัดขวิด วัดขวิดอยู่ตรงข้ามกับวัดอุโปสถารามนั่นแหละ วันนี้วัดขวิดเหลือแต่โบสถ์ รอบๆ โบสถ์ คือ ร้านค้า ผมสงสัยว่าคนเรากล้ายุบวัดมาทำตลาดได้โดยไม่กลัวบาปกลัวกรรมเลยหรือ กรมศาสนาควรอนุรักษ์โบสถ์หลังนี้เอาไว้นะครับ เพราะวัดนี้เกิดก่อนวัดใดๆ ใน จ.อุทัยธานี ทีเดียว

ได้ไปดูหิ่งห้อยที่เมืองอุทัยฯ ที่บ้านท่านนายกท่องเที่ยว จ.อุทัยธานี ด้วย หิ่งห้อยเมืองอุทัยฯ ตัวใหญ่กว่าหิ่งห้อยเมืองสมุทรสงคราม สมุทรสาคร และเพชรบุรีมากเพราะเป็นหิ่งห้อยป่า ส่วนหิ่งห้อยเมืองสมุทรทั้งหลายนั้น เป็นหิ่งห้อยน้ำที่ตัวเล็กกว่า แต่หิ่งห้อยเมืองอุทัยธานีอาจจะเอามาเป็นสินค้าการท่องเที่ยวไม่ได้ เพราะเป็นหิ่งห้อยสัมภเวสี คือ บินไปบินมาไม่เป็นที่ แม้จะอยู่จะไปจู๋จี๋กันตามหนองน้ำ แต่มันก็ไม่ได้พร้อมใจกันวาบแสง ผิดกับหิ่งห้อยอัมพวาที่วาบพร้อมกันที่ต้นลำพูโดยไม่หนีไปไหน

ติดใจถนนคนเดินของอุทัยฯ ที่เพิ่งเซตอัพขึ้นมา แม้จะเลียนแบบที่อื่น แต่ความที่เป็นชุมชนที่มี “ราก” มันจึงทำให้ถนนคนเดินของอุทัยฯ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นชุมชนที่เต็มไปด้วยการหยอกล้อ และแม้ว่ามันจะเป็นถนนสายสั้นๆ แต่ก็เป็นความสั้นที่มีเนื้อหา ผมขอให้คนที่นั่นได้รักษาความเป็นผู้ค้าที่เป็นอุทัยฯ อาหารพื้นเมืองแบบอุทัยฯๆ เอาไว้ให้ได้นานๆ เพื่อสร้างความแตกต่างกับอัมพวา ปาย และเชียงคาน (แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าคนนอกถิ่นจะไม่ดีนะครับ ก็เพราะคนต่างถิ่นที่เก่งด้านถ่ายภาพ ดีไซน์และคิดวลีเก๋ๆ ให้นั่นแหละที่ทำให้อัมพวา ปาย และเชียงคาน มีรายได้ทุกวันนี้) เสียดายที่เวลาที่ให้ผมเดินมีน้อย ผมจึงไม่สามารถเสนอเรื่องราวของตลาดที่น่ารักได้มากนัก เอาเป็นว่าวันหลังจะไปทำรายงาน “ใช้หนี้” ให้ก็แล้วกัน

จากอุทัยฯถึงบึงกาฬ

 

พอพูดถึงตลาดสดก็ขอพูดถึงตลาดสดบึงกาฬสักเล็กน้อย ตลาดอีสานไม่ใช่ตลาดแบกะดินเหมือนเมื่อก่อนไปแล้วส่วนใหญ่ เพราะบ้านเมืองเจริญขึ้น นักการเมืองท้องถิ่นก็ต้องสร้างตลาดให้สอดคล้องกับยุคสมัยมากขึ้น สินค้าที่ขายก็เป็นพวกอาหาร อาหารของบึงกาฬเป็นอาหารอีสานปนเวียดนาม เพราะคนริมโขงประกอบไปด้วยคนไทยเชื้อสายเวียดนามกับคนอีสานพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ต่างที่คนเวียดนามกุมเศรษฐกิจในเมืองเอาไว้ ส่วนคนอีสานบ้านเฮาอยู่ตามท้องไร่ท้องนา

สมัยก่อนคนบึงกาฬก็เข้ามาขายแรงงานอยู่ในกรุงเทพฯ แต่พอปลูกยางได้ คนเหล่านั้นก็ทยอยกันกลับมาปลูกยางที่บ้านเกิด มาไม่มาเปล่ายังขายที่ดินให้พวกปักษ์ใต้อีกต่างหาก (ก็ซื้อกันไปทั่วประเทศนั่นแหละ ซื้อจนคนเหล่านั้นมีที่ดินปลูกยางพาราครึ่งหนึ่งของคนบึงกาฬแท้ไปแล้ว)

จากโครงสร้างการผลิตที่เปลี่ยนแปลง จากความเป็นท้องไร่ท้องนากลายเป็นสวนยาง ส่งผลทำให้โครงสร้างของหมู่บ้านที่เคยมีผู้คนอยู่ร่วมกันทั้งวันทั้งคืน กลายเป็นหมู่บ้านที่ร้างผู้คน เพราะเจ้าของบ้านต้องออกไปค้างอ้างแรมกันอยู่ตามสวนยางเพื่อกรีดยางตอนเช้ามืดแบบเดียวกับคนปักษ์ใต้

วันนี้คนบึงกาฬสามารถปลูกยางและตัดยางได้เป็นอันดับหนึ่งของอีสาน น้ำยางที่มีคุณภาพทำให้คนบึงกาฬมีรายได้ดีกว่าการปลูกข้าว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะละเลิกการปลูกข้าว ซึ่งเป็นอาชีพของบรรพบุรุษ เพราะข้าวก็มีราคาแพงเช่นกัน ดังนั้นถ้าเราไปบึงกาฬเราจึงเห็นว่าใกล้นาข้าวมียาง ริมสวนยางมีข้าว ข้าวและสวนยางที่ทำให้คนบึงกาฬรวยไปกินปลาแม่น้ำโขงอย่างสบายใจ

จากอุทัยฯถึงบึงกาฬ

 

ปล.แม้ว่าวัดป่าภูก้อน อ.นายูง จ.อุดรธานี จะสร้างขึ้นอย่างสวยงาม แถมมีพระพุทธรูปที่แกะด้วยหินอ่อนจากอิตาลีที่แปลก เหมาะสำหรับทำการท่องเที่ยวมาก แต่ผมก็ยังแปลกใจว่าวัดที่สร้างโดยคนในตระกูลวีรวรรณ ไปสร้างวัดในป่าบนยอดเขาทำไม ส่วนวัดไทย อ.โพนพิสัย ซึ่งใช้พญานาคเป็น “จุดขาย” ถึงไม่สร้างรอยพระพุทธบาทจำลองขึ้นมาก็เอาความเป็นวัดเก่าแก่ริมน้ำโขงมาขาย เอาความเป็นพญานาคและบั้งไฟพญานาคมาขายได้ เน้นแก่นดีกว่ากระพี้ครับ

เราไปที่แก่งอาฮง ซึ่งว่ากันว่าคือสะดือของแม่น้ำโขง เพราะลึกที่สุดในลำน้ำแห่งนี้ และไปที่ภูทอก ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดในสายของพระอาจารย์จวนไปแล้วถึงได้เจอเห็ดหลายชนิด รวมทั้งเห็ดสีน้ำเงิน (เห็ดกระดิ่งหยก) ด้วย (ถ่ายรูปมาให้ดูนั่นแหละ)

ขอบคุณ คุณบุญเลิศ พรหมจิรโชติ รอง ผวจ.อุทัยธานี คุณเผด็จ นุ้ยปรี นายก อบจ. คุณไพลิน นุ้ยปรี นายกท่องเที่ยว จ.อุทัยธานี หมอกฤติพลแห่งพญาไม้รีสอร์ท และคุณสุชาติ ทิฐิศานศิริ แห่งภูมิธรรมโฮมสเตย์ และผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานอุทัยธานี

ขอบคุณท่าน ผวจ.บึงกาฬ พรศักดิ์ เจียรณัย ท่านผู้อำนวยการธัญภา นิโครธานนท์ สำนักงาน ททท.อุดรธานี

ท่านผู้ใดสนใจจะไปร่วมงานแข่งเรือยาวประเพณีไทยลาว ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วันที่ 20 ส.ค. 2555 สอบถาม ททท.สำนักงานอุดรธานี โทร. 042-421-326 042-325-4067 หรือที่ ปลัดเดช ตะพานบุญ โทร. 081-964-5390

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’