posttoday

โลกห่างดวงอาทิตที่สุด

01 กรกฎาคม 2555

ทุกต้นเดือน ก.ค.ของทุกปี โลกจะอยู่ห่างดวงอาทิตย์ที่สุด ปีนี้ตรงกับวันที่ 5 ก.ค. แต่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในช่วงนี้กลับสูงกว่าต้นเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่โลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

ทุกต้นเดือน ก.ค.ของทุกปี โลกจะอยู่ห่างดวงอาทิตย์ที่สุด ปีนี้ตรงกับวันที่ 5 ก.ค. แต่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในช่วงนี้กลับสูงกว่าต้นเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่โลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

ดาวเคราะห์ทุกดวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ในวงโคจรที่เกือบเป็นวงกลม มีความรีเล็กน้อย โดยดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่ตรงกลางของวงรี แต่อยู่ที่จุดโฟกัสหนึ่งใน 2 จุดของวงรี ตามกฎของเคปเลอร์ บนวงโคจรจึงมีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด (Perihelion) และจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด (Aphelion) อยู่ตรงข้ามกัน เส้นที่ลากเชื่อมระหว่างกันเรียกว่าแกนเอก (Major Axis)

ปัจจุบันโลกจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในต้นเดือน ม.ค. ที่ระยะห่างประมาณ 147 ล้านกิโลเมตร และห่างไกลดวงอาทิตย์ที่สุดในต้นเดือน ก.ค. ที่ระยะห่างประมาณ 152 ล้านกิโลเมตร หลายคนอาจไม่ทราบว่าสองเหตุการณ์นี้มีคำเรียกในภาษาไทยด้วยว่า “พสุสงกรานต์เหนือ” และ “พสุสงกรานต์ใต้” ตามลำดับ

ระยะห่างที่ไกลจากดวงอาทิตย์มากขึ้นในต้นเดือนนี้ ไม่ได้ช่วยลดอุณหภูมิของโลกลง ปัจจัยหลักที่มีผลต่อฤดูกาลคือแกนหมุนของโลก ซึ่งเอียงทำมุมราว 23.5 องศา ช่วงนี้ขั้วโลกเหนือหันเข้าดวงอาทิตย์ ที่นั่นและบริเวณรอบๆ จึงได้รับแสงอาทิตย์ตลอด 24 ชั่วโมง เวลากลางวันในซีกโลกเหนือยาวนานกว่ากลางคืน พื้นดินได้รับแสงอาทิตย์เป็นเวลานานนั่นทำให้ขณะนี้ซีกโลกเหนืออยู่ในฤดูร้อน

รอย สเปนเซอร์ นักวิทยาศาสตร์ที่ศูนย์อุทกวิทยาและภูมิอากาศโลกในเมืองฮันต์สวิลล์ รัฐแอละแบมา สหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลว่าแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบผิวโลกในเดือน ก.ค.มีความเข้มแสงน้อยกว่าเดือน ม.ค. ราว 7% แต่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในเดือน ก.ค. กลับสูงกว่าเดือน ม.ค. ประมาณ 2.3 องศาเซลเซียส ซึ่งฟังดูขัดกับสามัญสำนึกของเรา

เขา อธิบายว่า สาเหตุเกิดจากความไม่สม่ำเสมอในการกระจายตัวของส่วนที่เป็นพื้นดินกับพื้นน้ำบนผิวโลก หากเราดูแผนที่โลกก็จะพบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของซีกโลกเหนือเป็นพื้นดิน ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของซีกโลกใต้เป็นพื้นน้ำ ดินมีความจุความร้อน ซึ่งก็คือความสามารถในการเก็บความร้อนน้อยกว่าน้ำ พลังงานความร้อนที่เท่ากันจะทำให้พื้นดินร้อนขึ้นได้มากกว่าพื้นน้ำ เดือน ก.ค. แสงอาทิตย์ตั้งฉากกับผิวโลกในซีกโลกเหนือ ซึ่งมีพื้นดินมากกว่าพื้นน้ำ ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นได้มากกว่าเดือน ม.ค. อันเป็นช่วงที่แสงอาทิตย์ตั้งฉากกับผิวโลกในซีกโลกใต้ ซึ่งมีพื้นน้ำมากกว่าพื้นดิน

บิล แพตเซิร์ต นักสมุทรศาสตร์ที่ห้องปฏิบัติการเจพีแอลของนาซา อธิบายเพิ่มเติมว่า อุณหภูมิของพื้นดินมีการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว เช่น ในทะเลทรายเวลากลางคืนอุณหภูมิอาจเย็นราว 16 องศาเซลเซียส แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น อุณหภูมิจะกระโดดขึ้นไปได้ถึง 38 องศาเซลเซียส หรือมากกว่า ส่วนในมหาสมุทรซึ่งมีความจุความร้อนสูง สามารถเก็บความร้อนได้มากและปล่อยออกมาได้ยาก อุณหภูมิพื้นผิวเหนือมหาสมุทรในเวลากลางคืนกับเวลากลางวันจึงต่างกันไม่มาก

จากคำอธิบายข้างต้นจึงสรุปได้ว่า โดยทั่วไปอุณหภูมิในฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ (เดือน ก.ค.) จะสูงกว่าอุณหภูมิในฤดูร้อนของซีกโลกใต้ (เดือน ม.ค.) แม้ว่าในเดือน ม.ค. โลกจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าเดือน ก.ค.ก็ตาม ปัจจัยร่วมอีกอย่างหนึ่งก็คือระยะเวลาของฤดูร้อนที่แตกต่างกันระหว่างซีกโลกทั้งสอง เดือน ก.ค.เป็นช่วงที่โลกอยู่ไกลดวงอาทิตย์ จึงเคลื่อนที่ในวงโคจรได้ช้ากว่าเดือน ม.ค. ความยาวของฤดูร้อนในซีกโลกเหนือจึงยาวนานกว่าฤดูร้อนของซีกโลกใต้อยู่ราว 23 วัน

วันที่โลกอยู่ใกล้และไกลดวงอาทิตย์ที่สุดไม่ตรงกันทุกปี สาเหตุเกิดจากแรงโน้มถ่วงรบกวน โดยเฉพาะจากดวงจันทร์ ปัจจุบันวันที่โลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดแกว่งอยู่ในช่วงวันที่ 25 ม.ค. ส่วนวันที่โลกอยู่ไกลดวงอาทิตย์ที่สุดแกว่งอยู่ในช่วงวันที่ 37 ก.ค. นอกจากนี้ การเลื่อนไปข้างหน้าของแกนเอกในวงโคจรโลก ก็ทำให้วันที่โลกอยู่ใกล้และไกลดวงอาทิตย์ที่สุด ขยับช้าลงเรื่อยๆ เช่น สมัยต้นรัตนโกสินทร์ วันที่โลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ในบางปียังตกอยู่ในปลายเดือน ธ.ค. อีกราว 1,700 ปีข้างหน้า วันที่โลกอยู่ใกล้และไกลดวงอาทิตย์ที่สุด จะขยับไปอยู่ในต้นเดือน ก.พ.และต้นเดือน ส.ค. ตามลำดับ

ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (วันที่ 18 ก.ค.)

ท้องฟ้าเวลาหัวค่ำยังสามารถสังเกตดาวพุธ ดาวอังคาร และดาวเสาร์ได้ ดาวพุธอยู่ทางทิศตะวันตก ใกล้ขอบฟ้ามากที่สุดใน 3 ดวงนี้ ต้นสัปดาห์เป็นช่วงที่ดาวพุธทำมุมห่างดวงอาทิตย์ที่สุด หากท้องฟ้าเปิดจะสามารถสังเกตดาวพุธได้ง่าย ค่ำวันที่ 23 ก.ค. กล้องสองตาอาจช่วยให้เห็นกระจุกดาวรังผึ้ง ซึ่งเป็นกระจุกดาวเปิดในกลุ่มดาวปู อยู่ห่างดาวพุธ 2 องศา สูงขึ้นจะเห็นดาวอังคารและดาวเสาร์อยู่ในกลุ่มดาวหญิงสาว ดาวเคราะห์ 2 ดวงนี้อยู่ห่างกันราว 20 องศา โดยดาวอังคารอยู่ต่ำกว่าดาวเสาร์เล็กน้อย ใกล้ดาวเสาร์จะเห็นดาวสว่างดวงหนึ่ง นั่นคือดาวรวงข้าว

เวลาเช้ามืด ดาวศุกร์กับดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเด่น 2 ดวง อยู่ทางทิศตะวันออก เช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ค. ใกล้กันที่สุดด้วยระยะห่าง 4.8 องศา หลังจากนั้นจะสังเกตได้ว่าดาวศุกร์เคลื่อนต่ำลง เข้าใกล้ดาวอัลเดบารัน ซึ่งเป็นดาวสว่างในกลุ่มดาววัว ช่วงแรกดวงจันทร์อยู่บนท้องฟ้าเวลาหัวค่ำ วันที่ 1 ก.ค. ผ่านใกล้ดาวแอนทาเรสในกลุ่มดาวแมงป่อง จากนั้นสว่างเต็มดวงในวันที่ 4 ก.ค.

ค่ำวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ค. สถานีอวกาศนานาชาติจะโคจรผ่านเหนือท้องฟ้าประเทศไทย ปรากฏเป็นเหมือนดาวสว่างเคลื่อนที่ข้ามท้องฟ้า กรุงเทพมหานครและบริเวณใกล้เคียงเริ่มเห็นสถานีอวกาศใกล้ขอบฟ้าทิศเหนือในเวลา 19.56 น. สถานีอวกาศจะเคลื่อนสูงขึ้นไปทางขวามือ จากนั้นหายเข้าไปในเงามืดของโลกทางทิศตะวันออกที่มุมเงย 40 องศา ในเวลา 20.00 น.

ค่ำวันอังคารที่ 3 ก.ค. สถานีอวกาศผ่านประเทศไทยให้เห็นได้อีกครั้ง เริ่มเห็นใกล้ขอบฟ้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือในเวลา 19.45 น. สถานีอวกาศจะเคลื่อนสูงขึ้นไปทางซ้ายมือ ทำมุมสูงเหนือขอบฟ้ามากที่สุดทางทิศตะวันตกที่มุมเงย 40 องศา ในเวลา 19.48 น. แล้วเคลื่อนต่ำลง เข้าสู่เงามืดของโลกทางทิศใต้ที่มุมเงย 15 องศา ในเวลา 19.50 น.

ข่าวล่าสุด

SCB WEALTH กวาด 6 รางวัลระดับโลก สะท้อนความเป็นเลิศในทุกมิติการบริหารความมั่งคั่ง