บรัสเซลส์ เมืองหลวงแห่งอียู ประตูสู่ยุโรป
การเดินทาง 12 ชั่วโมงบนฟากฟ้า จากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งสหพันธรัฐ 2 ภาษา มีเวลาช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง
การเดินทาง 12 ชั่วโมงบนฟากฟ้า จากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งสหพันธรัฐ 2 ภาษา มีเวลาช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง
อีกทั้งสภาพดินฟ้าอากาศในแบบฝนแปดแดดสี่ เช้าอาจมีฝน เที่ยงอาจมีแดด ตกเย็นอาจฟ้าครึ้ม กับอุณหภูมิเฉลี่ย 10 องศาเซลเซียส ก็ย่อมสร้างความเหนื่อยล้าให้กับร่างกายได้ไม่มากก็น้อย แต่เมื่อพาหนะนำเราออกจากสนามบินมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของประเทศนี้ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเราก็เข้าสู่ความศิวิไลซ์ของเขตเมือง สองข้างทางประดับประดาด้วยสถาปัตยกรรมในแบบอาร์ตนูโวผสมผสานกับโกธิกสลับสับเปลี่ยนกับป่าสูงชะลูดเขียวขจีใจกลางเมือง พร้อมกับป้ายขนาดใหญ่ที่เขียน “Welcome to Europe” มีให้เห็นประปรายทั่วเมือง
ณ องศาใหม่ที่เรากำลังยืนอยู่นี้คือกรุงบรัสเซลส์ประเทศเบลเยียม ประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่ไม่โตมากนัก เพราะขับรถขึ้นเหนือล่องใต้ไปตะวันออกหรือตะวันตกล้วนแล้วใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงก็จะเจอพรมแดนประเทศต่างๆ แล้ว ประเทศนี้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 2 ภูมิภาค คือ ภูมิภาคฟลานเดอร์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ มีพรมแดนส่วนใหญ่ติดกับประเทศเนเธอร์แลนด์ ดังนั้นผู้คนในภูมิภาคนี้จึงได้รับอิทธิพลจากเนเธอร์แลนด์สูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชื้อชาติ วัฒนธรรม และใช้ภาษาดัตช์ในการสื่อสาร ส่วนทางใต้ของประเทศคือภูมิภาควัลโลเนีย มีพรมแดนส่วนใหญ่ติดกับประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นผู้คนในภูมิภาคนี้จึงได้รับอิทธิพลสูงจากประเทศฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน และในส่วนของกรุงบรัสเซลส์ ศูนย์กลางทางด้านการเมืองการปกครองนั้น หากดูในแง่ของภูมิศาสตร์ที่ตั้งแล้วจะพบว่าตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างสองภูมิภาคพอดิบพอดี จึงทำให้วัฒนธรรมที่นี่ผสมผสานระหว่างฟลานเดอร์และวัลโลเนีย นอกจากนั้นแล้วรอบชานเมืองบรัสเซลส์ยังเป็นที่ของชุมชนชาวเยอรมันขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้เองกรุงบรัสเซลส์จึงสามารถใช้ภาษาดัตช์ ภาษาฝรั่งเศส และรวมถึงภาษาเยอรมันในการสื่อสารได้ จึงกล่าวได้ว่าประเทศ
เบลเยียมไม่มีภาษาราชการเป็นของตัวเอง ซึ่งก็สอดคล้องกับอายุของประเทศนี้ ที่มีอายุเพียง 182 ปีเท่านั้น หลังจากแยกตัวอย่างเป็นทางการจากเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 1830 ที่ผ่านมา ด้วยความแตกต่างทั้งด้านวัฒนธรรมและภาษาดังกล่าวนี้ ทำให้ในปี 1970 ประเทศเบลเยียมได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากราชอาณาจักร มาเป็นสหพันธรัฐราชอาณาจักร กล่าวคือมีการรวมกันของรัฐมากกว่า 2 รัฐขึ้นไป มีการให้อำนาจการตัดสินใจสูงสุดแก่รัฐบาลท้องถิ่นโดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลกลาง และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของรัฐทั้งปวง
สภาพการจราจรในช่วงเช้าตรู่ของบรัสเซลส์ถือว่าสาหัสสากรรจ์ไม่น้อย เพราะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อไปทำงาน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วประชากรที่แท้จริงของบรัสเซลส์มีเพียงแสนกว่าคนเท่านั้น แต่ที่เห็นขวักไขว่บนท้องถนนและบนรถสาธารณะนั้น ส่วนใหญ่คือประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานที่นี่ เพราะกรุงบรัสเซลส์เป็นที่ตั้งของสำนักงานองค์กรระหว่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งเคยมีการสำรวจแล้วว่าผู้คนที่ทำงานให้กับองค์กรเหล่านี้มีจำนวนมากกว่า 4 หมื่นคน นี่ยังไม่นับรวมกับหน่วยงานเอกชนที่มีอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งองค์กรและหน่วยงานเหล่านี้ล้วนมีจุดประสงค์ในการเข้ามาตั้งสำนักงานที่นี่เหมือนกัน คือเข้ามาติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุโรป ผ่านทางองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดในยุโรป นั่นก็คือสหภาพยุโรป ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์นั่นเอง
สงสัยกันหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดประเทศเบลเยียมที่มีขนาดพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยถึง 17 เท่า ถึงได้มีความสำคัญในการเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สหภาพยุโรป จุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อราวปี 1950 เมื่อประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์กและเบลเยียม ร่วมมือกันจัดตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้ายุโรป ซึ่งต่อมาได้ขยายผลและจัดตั้งประชาคมอื่นๆ เช่น ประชาคมปรมาณูยุโรปและประชาคมเศรษฐกิจยุโรป รวมทั้งหมดแล้วเป็น 3 ประชาคม และมีประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดแล้วจึงผนวกรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวโดยใช้ชื่อว่าประชาคมยุโรป ต่อมาจึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อสหภาพยุโรป หรือ European Union มาจนถึงปัจจุบัน เป้าหมายสำคัญของการจัดตั้งคือความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศสมาชิก และได้มีการลงมติเลือกให้กรุงบรัสเซลส์เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ เพราะมีชัยภูมิตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของประเทศสมาชิกทั้งหมดนั่นเอง ในปัจจุบันสหภาพยุโรปมีประเทศ
สมาชิกทั้งหมด 27 ประเทศจาก 50 ประเทศทั้งหมดในทวีปยุโรป มีจำนวนประชากรรวมกันกว่า 500 ล้านคน จากจำนวนประชากรในทวีปยุโรปทั้งหมด 700 ล้านคน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ GDP รวมแล้วสูงถึง 12.2 ล้านล้านยูโร ถึงแม้ว่าจะต้องประสบกับวิกฤตการณ์ด้านการเงินของบางประเทศสมาชิกก็ตามที
ธงสัญลักษณ์ของสหภาพยุโรปประกอบไปด้วยดวงดาวสีทอง 12 ดวง ซึ่งไม่ได้หมายถึงประเทศสมาชิกแต่อย่างใด แต่ดวงดาว 12 ดวงล้อมเป็นวงกลมบนผืนผ้าสีน้ำเงิน เปรียบได้กับจักรราศีทั้ง 12 และตัวเลข 12 บนหน้าปัดนาฬิกา ซึ่งตามความเชื่อโบราณจะหมายถึงความสมบูรณ์แบบ ความกลมเกลียวและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาติสมาชิกนั่นเอง
สหภาพยุโรปเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญของการกำหนดทิศทางโลกในช่วงนั้นๆ ดังนั้นประเทศไทยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาความเป็นไปและติดตามความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของสหภาพยุโรป ซึ่งหน่วยงานที่คอยดูแลเรื่องนี้คือสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงบรัสเซลส์ คุณอภิชาติ ชินวรรโณ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงบรัสเซลส์ เล่าให้เราฟังว่า ภารกิจของสถานทูตไทยประกอบไปด้วย 2 งานหลัก คือ ความสัมพันธ์ทางด้านทวิภาคีและทำหน้าที่คณะผู้แทนประจำสหภาพยุโรป ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนรัฐบาลไทยในการติดต่อสื่อสาร รวมไปถึงติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสหภาพยุโรปเพื่อรายงานผลดังกล่าวให้กับคนไทยรับทราบ ทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ นอกจากนั้นท่านทูตยังได้สะท้อนอีกหนึ่งมุมมองของสหภาพยุโรปที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ได้อย่างน่าสนใจว่า ความสำเร็จจากการรวมกันเป็นตลาดเดียวของสหภาพยุโรป คือหนึ่งในแรงบันดาลใจในการจัดตั้ง AEC แต่ในปัจจุบันผลกระทบจากวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะดังกล่าว อันเกิดจากการใช้เงินสกุลเดียวกัน นั่นก็คือเงินยูโรใน 17 ประเทศ ซึ่งไม่ได้มีนโยบายการคลังร่วมกัน ได้ทำให้สหภาพยุโรปมองเห็นจุดอ่อนของตัวเอง ดังนั้นการเกิดขึ้นของ AEC จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คนไทยไม่เพียงแค่จะต้องทำความเข้าใจ แต่ต้องรู้ถึงข้อดีและข้อเสียที่จะต้องเกิดขึ้นเมื่อมีการจัดตั้ง AEC แล้ว เพื่อที่จะพร้อมในการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป
ถึงแม้ว่าในขณะนี้สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสหภาพยุโรปอาจจะไม่สามารถหาข้อยุติได้ก็ตามที แต่จำนวนประชากรและตลาดที่มีกำลังซื้อสูงนี้ เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการในไทย ว่ากันว่าถ้าอยากจะเจาะตลาดสหภาพยุโรปให้สำเร็จแล้ว ก็ต้องมาเริ่มต้นที่กรุงบรัสเซลส์ก่อน รายละเอียดจะเป็นอย่างไรติดตามต่อได้ในสัปดาห์หน้า และอย่าลืมติดตามชมรายการโลก 360 องศา ทุกคืนวันเสาร์ 3 ทุ่มครึ่ง ทาง ททบ.5


