ศีลกถา ประโยชน์ของการรักษาศีลกถา(จบ)
ถ้าจะรักษาศีลทั้ง 5 ประการ จึงทำดังนี้
ถ้าจะรักษาศีลทั้ง 5 ประการ จึงทำดังนี้
ข้อ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งศรัทธาญาติโยมที่อยู่ในตลาด ใกล้ตลาด เช่น อ.บ้านแพง อ.ศรีสงคราม ก็ดี เป็นการที่ว่า ปาณาติปาตา เวรมณี นี้ที่มันจะขาด ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปฆ่า เพียงซื้อของที่มันตายมาแล้วทำอาหาร ก็ไม่ฆ่า ไม่ฆ่ายุง ไม่ฆ่ามด ก็เป็นศีลขึ้นมาก็รักษาได้ไม่ขัดข้อง
ข้อ 2 อทินนาทานา ก็เป็นการลักของเขา เราจำเป็นอย่างไรที่จะไปลักของคนอื่นเขา สัมมาอาชีพทำการงานสุจริต มีอาชีพตามทำนองคลองธรรม นี้ก็เป็นศีลอยู่แล้วไม่ขาดแล้ว ข้อนี้จึงไม่ขัดข้อง
ข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ประพฤติล่วงเกินผัวเขา เมียเขา ลูกสาวเขา เกิดผิดศีตจากครรลองประเพณีไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำ ไม่ประพฤติผิดศีลข้อ 3 ก็ยังมีชีวิตอยู่ ก็ชื่อว่าเป็นของที่ไม่จำเป็น
ข้อ 4 มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ เป็นพยานเท็จเบิกความในศาล หรือหลอกลวงคนไปทำงานแล้วไม่ได้เงิน บอกทางคนเดินทางผิด เหล่านี้เป็นการพูดปด ก็เป็นบาป เราจะเสแสร้งให้ผิดจากความจริงอย่างไร ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดปด ศีลข้อนี้ก็ไม่ขัดข้อง
ข้อที่ 5 สุราเมระยะ ดื่มสุราเมรัยก็ไม่จำเป็นสำหรับชีวิต ปัจจัย 4 คือ จีวรบิณฑบาต เสนาสนะ ยารักษาโรค 4 อย่างนี้มีแล้ว สมบูรณ์แล้ว รักษาชีวิตไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องมีปัจจัย 5 คือ สุรายาเมาเข้าไปอีก เพราะว่าการเมาเหล้านี้เป็นเหตุให้ฉิบหาย ดังที่รัฐบาลประกาศว่าประชาชนชาวไทยของเรา 63 ล้านคนนี้ จะตายด้วยอาการของการเมาสุราเสียปีละ 2 หมื่นคน ทรัพย์สินเงินทองเสียไปเป็นจำนวนมาก คน 2 หมื่นคนตายไปเพราะเหล้าเป็นเหตุเท่านั้น นี้เป็นของที่ไม่จำเป็นเพราะรักษาศีลไม่ได้
เพราะฉะนั้นศีล 5 ประการนี้ จึงควรรักษาให้ได้ ผู้ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ศีล 5 คือ ในหลวงพระราชินี พระมหากษัตริย์รักษาศีล 5 ประการไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะฉะนั้นเวลาพระเจ้าแผ่นดินตาย เรียกว่า สวรรคต คือว่าไปสู่สุขคติแล้ว ไปสู่สวรรค์แล้ว มีหวังที่จะไปสู่สวรรค์เหมือนดังพระบาลีที่อาตมายกมาในตอนต้น ว่า“สีเลนะ สุคติง ยันติ”ผู้จะไปสุขคติไปเกิดเป็นเทวดาอีก ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก ไปเกิดเป็นพรหม“สีเลนะ โภคะสัมปทา”จะมีโภคทรัพย์บริบูรณ์สมบูรณ์ไม่ขาดตกบก พร่อง ก็เพราะมีศีล“สีเลนะ นิพพุติง ยันติ”จะไปพระนิพพานได้ก็เพราะศีล อานิสงส์ของศีลที่ม้วนเป็นครั้งสุดท้ายของการให้ศีลอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพระเจ้าแผ่นดิน ในหลวงจึงมีหวังได้สุขคติอยู่แล้วตลอดเวลาเป็นแน่นอน
เราทุกคนที่เป็นพุทธบริษัทก็ควรมีศีลอยู่ตลอดเวลาดังกล่าวมาแล้ว ตั้งใจใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็ไม่สาย สมาทานศีลแล้วก็ตั้งใจรักษาศีล ตรวจตราศีลอยู่ตลอดเวลา พอจิตมันหน่วงเหนี่ยวเอาศีลเป็นที่พึ่งที่ระลึกแล้ว จิตใจก็ไม่คิดอย่างอื่น ไม่คิดบาป บาปไม่มีโอกาสเข้ามาแทรกแซงในจิต จิตเราแนบแน่นอยู่กับศีลทุกวัน ทุกเวลา ทุกกาล ทุกสมัย เป็นผู้มีศีลตลอด เพราะฉะนั้นจึงเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องทำนองคลองธรรม
สมุจเฉทวิรัติ การงดเว้นของพระอริยเจ้าเรียกว่าศีลประเสริฐ ศีลของพระอริยเจ้าหมายความอย่างไรว่าศีลประเสริฐ ศีลบริสุทธิ์ผุดผ่องครบถ้วนบริบูรณ์ หมายความอย่างนี้ คือศีลของพระอริยเจ้านั้นท่าน งดเว้นเด็ดขาด ท่านไม่คิดจะทำชั่ว ไม่คิดจะพูดชั่ว ไม่คิดจะคิดชั่ว สิ่งที่ชั่วทั้งหลายนั้นเป็นของเลวทราม ท่านหลีกเว้นที่สุด แม้เสียชีวิตก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม ดังยกนิทานมาเป็นเครื่องประกอบให้ทายก
ทายิกาฟังดังต่อไปนี้
พระจักขุบาล ท่านชวนภิกษุ 30 รูป เรียนกรรมฐานจากพระศาสดาแล้วออกไปบำเพ็ญสมณธรรมในหมู่บ้านต่างๆ ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งทายก ทายิกาได้มีศรัทธาเลื่อมใส ขอนิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่นั่น เพื่อพวกเขาจะได้มาปฏิบัติและฟังธรรมคำสอนทุกวัน ท่านก็อยู่บำเพ็ญเพียรถึงกลางพรรษา
ในกลางพรรษานั้นท่านเตือนภิกษุที่เป็นหมู่กันไปว่า“พวกท่านจะมีกติกานัดหมายอะไรในกลางพรรษานี้ก็ทำตามใจเถิด ทำตาม กติกาของตนเองไปเลย ส่วนผมนั้นจะขอตั้งอธิษฐานว่าจะไม่นอน จะเดิน ยืน นั่ง ไม่นอนตลอดพรรษา”ท่านทำไปๆ ตาท่านก็เจ็บเพราะฝืนธรรมชาติ จนในที่สุดตาท่านก็แตก กายก็แตกคือตาแตก ใจก็แตกคือแตกกิเลส เป็นพระอรหันต์ ความมืดก็แตกคือรุ่งเช้าพอดี สามแตกรวมกัน ใจแตก กิเลสแตก โลกแตก ความมืดแตก นี้คืออานิสงส์ของการปฏิบัติในกลางพรรษานั้นเอง
เมื่อออกพรรษาแล้วภิกษุ 30 รูป จะไปกราบพระศาสดา จึงมาชวนหัวหน้าคือพระจักขุบาล ท่านก็บอกว่า“ผมเป็นคนตาบอด จะเป็นที่ยุ่งยากแก่พวกท่านทั้งหลายอาจจะเดินทางล่าช้า เพราะฉะนั้นขอเชิญพวกท่านไปกราบพระศาสดาเถิด ผมไม่เป็นธุระของท่านให้ยุ่งยากดอก แต่ผมขอสั่งคำหนึ่งว่าเมื่อไปถึงเมืองสาวัตถีแล้วให้ไปบอกน้องชายผมว่าผมตาบอดแล้ว ให้น้องชายผมจัดการมารับผมเอง”
ภิกษุรับคำสั่งของอาจารย์พระจักขุบาลแล้วก็ไปกราบไหว้พระพุทธเจ้า แล้วจึงไปบอกน้องชายของพระจักขุบาล เมื่อน้องชายของพระจักขุบาลได้ทราบข่าวแล้ว จึงให้ลูกชายของตนเองไปรับหลวงลุงที่บ้านนอกนั้นให้เข้ามา หลานชายจึงคิดว่าเราจะเดินทางผ่านบ้าน ผ่านเมือง ผ่านดงไปอย่างนี้อาจเกิดอันตราย จากการเบียดเบียนของผู้อื่น เพื่อความปลอดภัยคือเป็นสมณเพศ จึงไปบวชเป็นสามเณร นุ่งห่มเหลืองเพื่อกันภัยที่อาจถูกเบียดเบียนจากผู้อื่น แล้วจึงไปหาหลวงลุง
เมื่อไปถึงหลวงลุงแล้ว จึงแจ้งความประสงค์ให้ทราบว่า“น้องชายของท่านคือพ่อผม ให้มารับหลวงลุงกลับไป”พระจักขุบาลก็ว่า“เออ ดีแล้ว”เมื่อเตรียมของเรียบร้อยแล้ว จึงให้หลานชายถือไม้เท้าจูงเดินทางผ่าน บ้านผ่านเมืองไปหลายเมือง แล้วมาถึงกลางดงแห่งหนึ่ง ในตรงนั้นมีเสียงสตรีร้องเพลงเก็บฟืนอยู่ในกลางดงนั้น ส่วนหลานชายก็บอกว่า “หลวงลุงครับ ผมมีธุระจำเป็นอย่างอื่นที่จะต้องทำ ขอให้หลวงลุงพักอยู่ตรงนี้ก่อน ผมไปทำธุระเสร็จแล้วผมจะกลับมา”
เมื่อหลานชายไปแล้ว เสียงผู้หญิงนั้นก็เงียบไม่มีเสียงร้องเพลง เพราะไปทำประพฤติผิดล่วงสิกขาบทของสามเณรกับผู้หญิงนั้เมื่อสมควรแล้วก็กลับมาหาหลวงลุงว่า“ผมเสร็จแล้วธุระ จับไม้เท้า ผมจะจูงหลวงลุงไป”พระจักขุบาลก็ว่า“ขอถามก่อนว่า เธอไปหาผู้หญิงนั้น เธอทำผิดสิกขาบทของเธอ ละล่วงสิกขาบทจริงหรือไม่”หลานชายก็บอกว่า“มันไม่เป็นความจริง”พระจักขุบาลจึงว่า“เมื่อเธอจากเราไปแล้วเสียงผู้หญิงนั้นยังร้องเพลงอยู่ เมื่อเธอจากไประยะหนึ่งเสียงผู้หญิงนั้นก็เงียบไปไม่ร้องเพลงอีก เพราะเธอได้ไปล่วงละเมิดสิกขาบทของเธอ เพราะฉะนั้นเธอเป็นคนชั่ว เป็นคนเลว คนไม่ดี คนอัปรีย์ คนนรก ประพฤติผิดสิกขาบทของตนเองทั้งที่เป็นสมณะ”
หลานชายก็ว่า“ผมมิได้บวชด้วยตั้งใจศรัทธาหรอกครับ ผมบวชเพื่อความสะดวกของผมเอง”ท่านก็ว่า“ศรัทธาหรือไม่ศรัทธาก็ตาม เมื่อเธอหัวโล้นผ้าเหลืองเป็นสามเณรแล้ว โลกเขาก็รู้จักว่าเป็นนักบวช มีศีล มีธรรม นี่เธอแกล้งล่วงละเมิดสิกขาบทของตนโดยไม่ละอายแก่ใจ เธอเป็นคนเลวต่ำช้าลามก”หลานชายจึงว่า“ผมขอสารภาพผิดแล้ว ขอหลวงลุงจงโปรดยกโทษด้วยเถิด จับไม้เท้าผมแล้วผมจะจูงหลวงลุงไป”
พระจักขุบาลท่านก็บอกว่า“เราจะไม่ยอมตามคนประพฤติชั่วที่เห็นแก่กิเลส ตัณหา ราคะของตัวเองตลอดเวลา แม้ก้าวเดียวเราก็จะไม่ตามเธอไป เพราะฉะนั้นขอให้เธอจงไปตามทางของเธอเถิด ปล่อยให้เราอยู่นี่”หลานจึงว่า“ถ้าผมไม่จูงหลวงลุงไปแล้ว หลวงลุงจะตายอยู่ในนี้นะครับ”ท่านบอกว่า“ตายหรือไม่ตาย เป็นหน้าที่ของเรา ส่วนเธอมีหน้าที่หนีจากเราไป เราจะไม่เดินตามเธออีกต่อไปแล้ว”
หลานชายไม่มีคำตอบเดินร้องไห้จากไป ปล่อยให้พระจักขุบาลอยู่ในกลางดงนั้น
เรื่องนี้ได้เดือดร้อนถึงพระอินทราธิราชบนสวรรค์ มองมาเห็นพระจักขุบาลตาบอดอยู่ในกลางดง หลานชายจากไปไหนแล้ว ไม่รู้จะไปที่ไหนได้ ถ้าเราไม่ไปช่วยไม่รู้จะไปที่ไหนได้ พระอินทร์จึงแปลงกายเป็นบุคคลธรรมดามาในที่ที่พระเถระอยู่ กระแอมขึ้นมาทำท่าให้ท่านรู้จัก พระจักษุบาลจึงว่า“โยมจะไปไหน”ท่านก็ว่า“จะไปเมืองสาวัตถี ผมจะรับท่านไปด้วย”ท่านก็ว่า“อาตมาตาบอด จะเป็นธุระท่านนะ ลำบากเฉยๆ ไปเถิด”พระอินทร์จึงว่า “ผมไม่มีธุระอะไรรีบร้อน ขอผมได้จูงท่านไปให้พ้นจากดงนี้ถึงเมืองสาวัตถีเถิด”
เมื่อทายกปลอมอ้อนวอน ท่านก็จับไม้เท้าของทายกพระอินทร์เดินตามกันไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงอึกทึกของชาวเมืองสาวัตถีเมืองใหญ่ ท่านจึงเอะใจว่า“เอ๊ะทำไม จากนี้ถึงเมืองสาวัตถีไม่ใช่ของใกล้นะ นี่ทำไมได้ยินเสียงเมืองสาวัตถีแล้ว”พระอินทร์จึงตอบว่า “ผมมีคาถาย่นแผ่นดินให้สั้นเข้า”ท่านก็เดินต่อไปอีกตามหลัง พระอินทร์ไป
เมื่อไปส่งถึงวัด ก็เข้าไปกราบพระพุทธเจ้าแล้วพระอินทร์ก็หายไป เมื่อพระจักขุบาลมาถึงวัดของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ทำกุฏิของท่านเป็นพิเศษ ทำราวไว้ให้จับเพื่อเดินไปอาบน้ำ เดินตามราวไปเดินจงกลม ท่านปฏิบัติอย่างนั้น แล้วมีคืนหนึ่งในฤดูฝน แมลงเม่าทั้งหลายออกจากรูของตนเอง บินไปมาแล้วก็มาตกเรี่ยราดอยู่ตามทางเดินจงกลม ทำให้ท่านเหยียบแมลงเม่าตายเป็นอันมาก ท่านก็ไม่รู้ว่าแมลงเม่าตาย พอตื่นเช้าขึ้นมา
ลูกศิษย์ลูกหายังไม่ได้กวาดที่ทาง แต่ภิกษุสังวัคคีมาเห็นก่อนก็ว่า“นี่หรือพระอรหันต์ ยังเหยียบแมลงเม่าตายอย่างนี้หรือ เป็นพระอรหันต์ อรหันต์อย่างไรไม่ทราบ จึงฆ่าสัตว์ไม่ละอาย ไม่เกรงกลัวต่อบาปอกุศลเลย”จึงไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่า พระจักขุบาลท่านเป็นพระอรหันต์อย่างไร จึงเหยียบแมลงเม่าตายเป็นเบือเลย พระพุทธเจ้าจึงทรงให้เรียกพระจักขุบาลมาหา ท่านมากราบพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้าจึงทรงถามว่า“เธอเหยียบแมลงเม่าตายเป็นจำนวนมากใช่ไหม”
พระจักขุบาลจึงกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าพระองค์ตาบอดทั้งสองข้าง มีความมืดอยู่ตลอดเวลา ตาไม่มีแล้วเมื่อเหยียบอะไรก็ไม่รู้จัก มองไม่เห็น ไม่ได้เจตนา ถ้าแม้นว่าข้าพระองค์เห็นแล้วจะมีคนมาบังคับให้ข้าพระองค์เหยียบข้าพระองค์ก็จะไม่เหยียบ แมลงเม่านั้น แม้นเขามาขู่จะฆ่าให้ตาย ข้าพระองค์ก็ยอมถูกฆ่าให้ตายดีกว่าจะไปเหยียบแมลงเม่าให้ตาย”
นี้เองพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าพระจักขุบาลเป็นผู้เที่ยงแท้แน่นอน เป็นพระอริยะมีศีลมั่นคง แน่แน่ว เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เรียกว่าเสียชีพอย่าเสียสัตย์ แม้จะต้องตายก็ตามก็จะไม่ยอมเสียศีล
นี่เป็นอุทาหรณ์ว่าสมุจเฉทวิรัติ ศีลของพระอริยเจ้าเป็นอย่างไร ขึ้นชื่อว่าความชั่วท่านไม่พอใจที่จะทำ แม้คนชั่วท่านก็ไม่พอใจที่จะเดินตามคนชั่ว เป็นกิจวัตรของพระอริยเจ้า เป็นศีลอันประเสริฐทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ
ศีลของเราปุถุชนนี้ที่รักษาศีล 8 ศีล 5 รักษาศีลแต่ทางกายและวาจา แต่ทางใจนั้นไม่รักษา ก็ไม่ถือว่าขาดศีล เช่น ว่าดื่มสุราเมรัยเป็นบาป ถ้าหากว่าไม่ดื่มเขาจะฆ่าให้ตายก็ยอมให้ฆ่าให้ตายไม่ยอมละศีล แต่ว่าใจของปุถุชนไม่เป็นเช่นนั้น คิดอยาก ฆ่าอยู่สำนึกขึ้นได้ว่าเรามีศีลไม่ควรฆ่า เช่น มด ยุงมาตอม มากัด ก็สำนึกขึ้นได้ว่าเราเป็นคนมีศีล ไม่ควรจะทำ แต่ใจอยากฆ่าอยู่ ใจอยากประพฤติล่วงละเมิดอยู่ สามีภรรยาที่ไปทำชู้ทำสาว ประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร พอเหมาะพอควรที่จะทำได้ ก็ตั้งใจไม่ทำ แต่ว่าใจอยากทำอยู่แต่ก็มีศีลมาขัดไว้จึงไม่ทำ ไม่สมควร
นั่นชื่อว่าเป็นศีลของปุถุชนสามัญเรา ไม่เหมือนศีลของพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลายดังพระจักขุบาลเป็นต้น ท่านไม่ยอมเดินตามหลังหลานชายไปนั้น เพราะรังเกียจความชั่วของคนชั่วนั้นเอง เป็นศีลที่ประเสริฐ เป็นศีลที่บริสุทธิ์ ...ศีลของพระอริยเจ้าจึงประเสริฐที่สุด นี้ชื่อว่าการรักษาศีลธรรม พระมีศีล 227 เณรมี 10 สิกขาบท ที่เป็นศีลแล้ว ถ้ามีศีลไม่บริสุทธิ์แล้วอย่าหวังผลเป็นสมาธิเลย ดังพระบาลีว่า
“สีละ ปะริภาวิโต สะมาธิ มะหัปผะโล โหติ มะหานิสังโส”เมื่อมีศีลบริสุทธิ์แล้ว ย่อมมีผลใหญ่ อานิสงค์ใหญ่ คือ สมาธิ
“สมาธิ ปะริภาวิตา ปัญญา มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา”เมื่อมีสมาธิบริสุทธิ์แล้ว ย่อมมีผลใหญ่ อานิสงค์ใหญ่ คือ ปัญญา
“ปัญญา ปะริภาวิตัง จิตตัง สัมมะเทวะ อาสะเวหิ วิมุจจะติ”เมื่อมีปัญญาบริสุทธิ์แล้ว ย่อมมีผลใหญ่ อานิสงส์ใหญ่ คือ วิมุตติ หลุดพ้นจากกิเลสตันหาบั้นปลายที่สุด
เพราะฉะนั้นเบื้องต้นของศีลนี่แหละสำคัญ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ อย่าไปหวังเลยสมาธิ ไม่ได้แน่นอนดังพระบาลีที่กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้นศีลจึงสำคัญที่สุด เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นศีลกถาที่อาตมาได้ชี้แจงแสดงมาก็พอสมควรแก่เวลาขอให้ศรัทธาญาติโยมตั้งใจฟัง แล้วก็ทำตามด้วย คือตั้งใจสมาทานศีลใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตั้งใจใหม่ว่าเราจะมีศีลตลอดเวลาทุกชีวิต ทุกวันทุกเวลา เป็นทางปฏิบัติสู่อริยะสูงขึ้นไป เพราะฉะนั้นธรรมที่อาตมาชี้แจงมาก็สมควรแก่เวลา
ท้ายที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ ขออ้างอิงเอาคุณพระศรีรัตนตรัยและผลศีลผลทานศรัทธาญาติโยมที่ฟังเทศน์ในวันนี้ก็ดี จงรวมกันเป็นมหันตเดชานุภาพบันดาลให้ท่านทั้งหมดจงแคล้วคลาดปราศจากอุปัทวันตราย ประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปทุกทิพาราตรีกาลทุกๆ คน ทุกๆ ท่านเทอญเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้