posttoday

‘เจนไน’ เมืองทมิฬ

05 พฤษภาคม 2555

ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลจากอินเดียและจีนมาก่อน

โดย...จำลอง บุญสอง

ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลจากอินเดียและจีนมาก่อน ต่อมาอิสลามจากเอเชียกลางเข้ามาควบคุมอินเดีย อิสลามก็เลยลงมาสู่ดินแดนที่อินเดียเคยมีอิทธิพลมาก่อนตามไปด้วย ส่วนตะวันตก หลังจากที่มีการ “ปฏิวัติอุตสาหกรรม” เกิดขึ้น ตะวันตกก็เลยเถลิงความเป็นมหาอำนาจขึ้น เพราะมีเทคโนโลยีมาช่วย ท้ายสุดก็แยกย้ายกัน “ขย้ำ” ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา ฯลฯ กันอย่างเมามัน

การล่าเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจใดๆ ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย อิสลามจากเอเชียกลาง หรือการล่าเมืองขึ้นของฝรั่งในช่วงกว่า 100 ปีที่ผ่านมา นอกจากการเข้าไปทำลายอำนาจอธิปไตยผู้ปกครองเดิม สถาปนาการปกครองใหม่แล้ว พวกเขายัง “ส่งออกวัฒนธรรม” ความเชื่อของตนไปสู่ผู้คนในประเทศผู้แพ้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การครอบครองนั้นเป็นไปแบบ “เบ็ดเสร็จ” เด็ดขาด คือยึดได้ทั้งแผ่นดิน กายและใจ ยกเว้นที่บางการรุกราน “วัฒนธรรม” ของ “ผู้ชนะ” ไม่สามารถแทรกเข้าไปอยู่ในจิตใจของคนฝ่ายแพ้ได้ เพราะวัฒนธรรมเดิมเข้มแข็งกว่า แข็งจนกระทั่งสามารถกลืนกลับวัฒนธรรมของผู้ชนะเอาเสียอีกต่างหาก

แอร์เอเชียเชิญนักข่าวไปดูรากเหง้าวัฒนธรรมอินเดียที่เข้ามามีอิทธิพลต่อภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ที่ “เจนไน” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจนไน หรือมัทราส เป็นเมืองหลวงของ “รัฐทมิฬนาดู” ซึ่งอยู่ชายฝั่ง “โคโรมันเดล” อ่าวเบงกอล เจนไน หรือมัทราส มีชื่อเดิมว่า “มัสราสะปตินัม” หรือ “เจนไนปัตนัม” (ท่าเรือของคนจีน)

‘เจนไน’ เมืองทมิฬ

 

ราชวงศ์อินเดียที่ครอบครองพื้นที่นี้ก็มีราชวงศ์ปัลวะ เจระ โจฬะ ปาณฑยะ ซึ่งติดต่อกับจีนมาแต่โบราณ ส่วนกับตะวันตกติดต่อหลังคริสตกาลราว ค.ศ. 5257

ทมิฬนาดู เป็นถิ่นเดิมของชนเผ่า “ดราวิเดียน” ที่อยู่ในย่านเอเชียใต้มานมนาน คนพวกนี้ผิวดำเพราะแดดแถบนี้แรงจัด พวกเขามีภาษาที่ “แตกต่าง” จากพวกผิวเหลือง “อารยัน” ซึ่งอยู่ภาคเหนืออย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงจะมีภาษาที่แตกต่างอย่างไร ก็หนีไม่พ้นไปจากการครอบงำของอารยันที่แข็งแรงกว่า

อดีตของเจนไน คืออู่อารยธรรมอินเดียใต้ วันนี้ของเจนไนก็คืออู่อุตสาหกรรมรถยนต์ เมืองไอทีและเมืองดูแลสุขภาพที่เราเรียกกันว่าอายุรเวชแบบอินเดียนั่นเอง ไม่เพียงแต่เท่านั้น เจนไนยังเป็นศูนย์กลางสำคัญของนาฏศิลป์ชั้นสูงของอินเดียที่ชื่อว่า ภารตนาฏยัม รวมทั้งเป็นที่ถ่ายทำหนังที่เรียกกันว่า คอลลีวูด (Kollywood) อีกด้วย

เมืองนี้มีหาดทรายที่ยาวที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เสียอย่างเดียวที่เป็นสีน้ำตาลและมีคลื่นลมแรง การมีตลิ่งสูงจึงไม่เหมาะแก่การว่ายน้ำ

ทมิฬนาดู “ส่งออก” “การรุกราน” มายังหมู่เกาะต่างๆ ตอนใต้ของเอเชียอาคเนย์จนสถาปนาอาณาจักรศรีวิชัยขึ้นบนเกาะสุมาตรา

อาณาจักรศรีวิชัยตั้งอยู่นานหลายร้อยปี หลังจากเกิดความขัดแย้งกันเองในหมู่ผู้ปกครอง “ต้นไม้ใหญ่” อย่างศรีวิชัยก็เสื่อมลง “ไม้รอง” ภายใต้ร่มศรีวิชัย ซึ่งเป็นต้นไม้สายพันธุ์เดียวกันอย่าง “จาม” ก็โตขึ้นเช่นเดียวกับนครศรีธรรมราช เมื่อจามเสื่อมลง ไม้รองต้นต่อไปอย่างนครวัดก็โตขึ้น และมีอิทธิพลครอบงำในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์มานาน และล่มสลายลงเมื่อถูกกรุงศรีอยุธยาโค่นลง

การมีอิทธิพลของอินเดียที่มีต่อภูมิภาคนี้ จึงไม่ต้องบอกว่าการสร้างปราสาทหินในชวา เขมร หรือพนมรุ้งเมืองไทยมาจากไหน

อินเดียในยุคโน้นใช่มีแต่เพียงฮินดูเท่านั้นที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คน พุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาอนัตตาที่ Counter ฮินดูอยู่ก็มีคู่กันไปชนิดกลืนกันไม่ลง ดังนั้น เมื่อการส่งออกการเมือง การค้าของอินเดียมาสู่เอเชียอาคเนย์ในยุคปัลลวะ เจระ โจฬะ และปาณฑยะ จึงเป็นการส่งออกทั้งพุทธมหายานและฮินดูไปพร้อมๆ กัน ดูได้จากชวา ปราสาทนครวัด นครธม และปราสาทอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้

กาญจีปุรัม (หรือ กาญจนบุรีอินเดีย นั่นแหละ) เป็นเมืองแรกที่เราไป เมืองนี้ห่างจากเจนไน 75 กม. เป็นเมืองที่มีวัดมากจนได้ชื่อว่าเป็นเมืองพันวัด อดีตเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ปัลวะ) โจฬะ (คริสต์ศตวรรษที่ 10-13) วิชยนคร (14-17) เป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์งดงามมากแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าอากาศดี ไม่ร้อนมาก (แต่วันที่เราไปร้อนจนตับจะแตก) วันนี้เป็นศูนย์กลางของภาษาทมิฬและเตเลกู

เมืองต่อมาที่ไปก็คือ มหาพลีปุรัม (ปุรัมก็บุรีนั่นแหละ) ตัวเมืองนี้ห่างจากเจนไนไปทางทิศเหนือประมาณ 60 กม. มหาพลีปุรัม เป็นเมืองของกษัตริย์ฮินดูราชวงศ์ “ปัลวะ” องค์ที่เป็นนักกีฬามวยปล้ำที่ชื่อว่า พระเจ้านรสิงหวรมัน (แปลกมากที่กษัตริย์องค์หนึ่งในอุซเบกิสถานก็เป็นนักมวยปล้ำด้วย แต่พระองค์นับถืออิสลาม อิสลามอุซเบกิสถานนั่นแหละที่เข้ามายึดครองอินเดีย) เมืองนี้มีโบราณสถานแบบฮินดูที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7-9 กระจายอยู่ทั่วไป โบราณสถานเหล่านี้แกะสลักจากหินก้อนเดียว ซึ่งเป็นต้นแบบของศิลปะทราวิฑที่อยู่อินเดียตอนใต้ ที่แกะเรื่องราวเทพปกรณัมของฮินดู (ต่างจากโบราณสถานในกัมพูชาหรือในไทย รวมทั้งในจามหรือเวียดนามตอนใต้ที่แกะสลักจากแหล่งหินแล้วเอามาประกอบกัน)

มีการถกเถียงกันว่าการแกะสลักจากหินทั้งก้อน กับการแกะสลักหินเอามาประกอบกัน อะไรเกิดขึ้นก่อน เรื่องนี้ผมตอบให้ไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในยุคดังกล่าว จึงตั้งคำถามให้ท่านผู้อ่านสันนิษฐานเอาเองว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนอะไร

‘เจนไน’ เมืองทมิฬ

 

เมืองที่สามที่ไปก็คือเมือง “ปอนดิเชรี” หรือเมืองโปทูเก (Poduke หรือ อริกะเมทุ) ซึ่งห่างจากเมืองปัจจุบัน 2 ไมล์

ตามบันทึกของพวกโรมันในศตวรรษที่ 2 นี้ เป็นเมืองท่ามานาน นานกว่าซากวัตถุจากเรือสินค้าที่นำเข้ามาจากโรมันในศตวรรษที่ 1 เสียอีก

หลังจากดัตช์เข้าครอบครองเมืองนี้ได้ระยะหนึ่งแล้ว ฝรั่งเศสเข้ามาชิงเค้กชิ้นนี้ไปตั้งบริษัท “เฟรนช์ อีสต์ อินเดีย” ต่อมาอังกฤษพยายามชิงต่อ แต่ก็ไม่เป็นผล ฝรั่งเศสครอบครองมาจนกระทั่งปี 1954

เค้กปอนดิเชรีฝรั่งเศสหวงมาก แม้อังกฤษให้อิสรภาพแก่อินเดีย 1947 แล้วก็ตาม ฝรั่งเศสก็ยังหน้าด้านยึดอยู่อีก แต่ท้ายที่สุดอินเดียก็กดดันให้ฝรั่งเศสถอนตามอังกฤษ ทำให้อินเดียเป็นอินเดียเต็มรูปอย่างปัจจุบัน

ก็ด้วยการ “ยื้อ” เมืองนี้อยู่ในมือนาน นอกจากจะทำให้ปอนดิเชรีมีโบสต์แบบฝรั่งเศสแล้ว ยังมีคนหน้าตาฝรั่งอาศัยอยู่ในดินแดนนี้มาก ทั้งลูกครึ่งและคนถือพาสปอร์ตฝรั่งเศสด้วย ทำให้ปอนดิเชรีมีคนพูดฝรั่งเศสต่างจากเมืองอื่นๆ ที่พูดอังกฤษ

แต่ก่อนเมืองนี้มีสภาพแบบเดียวกับเกาะฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ คือมีทั้งเขตขาวและเขตดำ เขตขาวให้พวกผิวขาวอยู่ เขตดำให้พวกพื้นเมืองตัวดำๆ อยู่ ในเมืองจีน ฝรั่งห้ามคนจีนและสุนัขเข้า ส่วนอินเดียผมว่ามีสภาพที่ไม่ต่างกัน แต่วันนี้ของปอนดิเชรีคือที่ตั้งสถานกงสุลฝรั่งเศสและหน่วยงานวัฒนธรรมของฝรั่งเศส

ขอบคุณมากๆ กับแอร์เอเชียที่จัดทริปให้ไปชมเมือง หลังจากที่เปิดเส้นทางบินไปเจนไนมาหลายวันแล้ว (www.airasia.com หรือ 02-515-9999) และขอบคุณ.NC ทัวร์ที่ให้ข้อมูลที่ดี สอบถามเรื่องเมืองเจนไนเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-247-2517-20 หรือที่www.nctour.net

ล้อมกรอบ

หลายครั้งที่ไปดูปราสาทหิน ไม่ว่าจะเป็นที่อินเดีย กัมพูชา ลาว หรือไทย นักข่าว นักเขียน มักจะรับฟังการบรรยายเรื่องราวของพระศิวะ พระนารายณ์ กันแบบจำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง ตามความสนใจของแต่ละคน

แต่พอสรุปความได้ว่า พระศิวะเป็น “ผู้ทำลาย” พระพรหมเป็น “ผู้สร้าง” และพระนารายณ์เป็น “ผู้รักษา”

เรื่องนี้ตรงกับ “ศิลปะศาสตร์แห่งสงคราม” (Arts of War) พอดี ทำให้เข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้ว ทั้งสามองค์เป็นบุคลาธิษฐานของการสร้างบ้านสร้างเมือง คือต้องทำลายการปกครองผิด สถาปนาการปกครองถูก และรักษาการปกครองให้ดำรงอยู่ต่อไปนั่นเอง ส่วนเรื่องปาฏิหาริย์ก็เป็นเพียงกลอุบายให้ “คนบางเหล่า” เชื่อ และ “ไม่หลุดออก” จากศาสนา ไม่หลุดไปจาก Norm หรือบรรทัดฐานของสังคมนั้นๆ ด้วย

ผู้แต่งอาจจะแต่งเพื่อให้ “บัว” บางเหล่า สามารถสาวกระพี้ไปให้ถึงแก่น แต่ผู้รจนาก็หารู้ไม่ว่า “กระพี้” นั่นแหละเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงแก่นได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะไปติดกับกระพี้ ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่าเอาพระธรรมมาเป็นสรณะ ส่วนพระสงฆ์องค์เจ้าหรือสะพานธรรมก็หาทางหากินกับความเชื่ออย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้มหาชนเข้าไม่ถึงสัจธรรม ด้วยเหตุนี้ “เซน” และพวกวัชรยานจึงปฏิเสธ “เปลือก” ด้วยการหาวิธีให้ผู้เรียนเข้าสู่ความรู้แจ้งโดยฉับพลัน

เรื่องการทำลาย การสร้าง และการรักษานั้น เราอาจจะเทียบได้กับคนที่เจ็บป่วยได้ว่า

1.เราจึงต้องขจัดเหตุแห่งทุกข์ หรือเงื่อนไขแห่งทุกข์ คือต้อง ทำลาย เชื้อโรคนั้นๆ ลงก่อน

2.ทำลายแล้วก็ต้อง สร้าง สมรรถนะร่างกายขึ้นมาใหม่ด้วยอาหารดีๆ สร้างแล้วก็ยังไม่พอ ยังต้อง

3. รักษาร่างกายไม่ให้รับเชื้อโรคเข้ามาใหม่อีก

‘เจนไน’ เมืองทมิฬ

 

การเมืองก็แพตเทิร์นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ลินคอน คานธี เหมาเจ๋อตง โฮจิมินห์ ฯลฯ คือต้องทำลายการปกครองผิดลงก่อน หลังจากนั้นก็สร้างการปกครองถูกขึ้น สร้างแล้วก็รักษาการปกครองถูกเอาไว้ตามลำดับ

กฎธรรมชาตินั้นถ้าไม่พิจารณาอย่างแยบคายแล้วจะเห็นได้ยาก เป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้ด้วยตัวเอง ใครไปรู้ให้ไม่ได้ เต๋าบอกว่าเต๋าคืออะไรไม่รู้ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีขอบเขต ไม่มีเจ้าของ แต่มีอยู่จริง อะไรทำนองนั้น

ตาพระที่มองอยู่เหนือเจดีย์เนปาล หน้ามนุษย์ที่แกะสลักบนปราสาทนครธม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ “เมตตาและปัญญา” ก็เช่นกัน

และเพื่อประยุกต์ศาสนาให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน จึงขออธิบายความเพิ่มเติมเรื่อง “คน” กับ “หลักการ” เอาไว้เล็กน้อย

สมัยก่อนจนถึง “ยุคกลาง” ไม่มีปัญหาเรื่องการกินอยู่ เพราะระบบเศรษฐกิจเป็นแบบพอเพียง ถึงใครโลภมาก คนอื่นๆ ก็มีกิน ปัญหายุคนั้นจึงอยู่ที่ “คน” แต่เมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้น โครงสร้างการผลิตแบบพอกินพออยู่ (Sufficiency Economy) หมดสภาพไป โลกเปลี่ยนยุคด้วยวิถีการผลิตที่เปลี่ยนไป เกิดทุนนิยมและการกดขี่ขูดรีดขึ้น “การแบ่งงานกันทำ” ทำให้เกิดสหสังคม

คือ“หลากหลาย”ไปด้วย“กลุ่มผลประโยชน์”ที่ซ้อนกันทั้งแนวราบและแนวดิ่ง ด้วยเหตุนี้การมองปัญหาและการแก้ไขปัญหาจึงต้องมองไปที่ระบบ (System) และระบอบ (Regime) ด้วยการเอาตัวแทนของกลุ่มอาชีพที่หลากหลายมาถืออำนาจอธิปไตยร่วม ย่อมทำให้Conflict of Interestหายไป สังคมนิพพานนั่นเอง

พระพุทธเจ้าไม่ให้เอาปรากฏการณ์หรือสิ่งของใดมายึดเป็นเจ้าของ เพราะมัน“ไม่ใช่เป็นของเรา”มันมีขึ้นได้เพราะมีปัจจัยทำให้เกิดใครยึดเป็นเจ้าของจึงต้องทุกข์ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร แห่งซอยศาสนา เขียนบทนำให้ พล.อ อาทิตย์ กำลังเอก เอาไปเป็นคำนำในหนังสือ66/23เล่มย่อว่า บ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดเอาไปครอบครองย่อมพินาศ เพราะท่านรู้ดีว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง การที่คนใดคนหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่งเอาอำนาจอธิปไตยปวงชนไปครอบครอง ยังไงเสียก็ต้องพินาศตามกฎของการทำลาย สร้างและรักษา ท่านจึงพยายามชี้ให้ผู้ปกครองมีดวงตาเห็นธรรม ด้วยการออกนโยบาย66/23ขึ้นมา เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเป็นไปโดยสันติ ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกันเหมือนในอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา จีน เวียดนาม หรือประเทศต่างๆ ในโลก แต่ชนชั้นผู้ปกครองไทยกลับมี“โมหะ”ยึดบ้านเมืองเอาไปเป็นของตนเอง ราษฎรเป็นเพียง“ผู้อยู่อาศัย”ครั้นประชาชนทวงคืนขึ้นก็เกิด“โทสะ”ฆ่าทิ้งทั้งที่ภาคใต้และกรุงเทพฯ สภาพการณ์ดังกล่าวจึงไปบังคับสภาพให้ประชาชนต้องทำสงครามประชาชนขึ้นในวันนี้ ช่างรถยนต์ขับรถไปเสียกลางทางก็ไม่ตกใจ เพราะมี“วิชา”ผู้ปกครองหรือคนทั่วไปขับรถไปเสียกลางทางก็ตระหนกตกใจ ทำอะไรไม่ถูก เพราะมีอวิชชา ตอนนี้ผู้ปกครองกำลังทำอะไรไปก็ผิด ยิ่งผิดก็ยิ่งเงอะๆ งะๆ น่าสงสารจริงๆ

ทำไม‘จินตภาพ’ของคำว่า‘ทมิฬ’จึงดูไม่ดีนักในสายตาคนไทย

อดีตพวกทมิฬ (ฮินดู) เป็นฝ่ายรุกรานพวกสิงหล (พุทธ) ในลังกา พวกสิงหลเจ็บแค้นต่อว่าพวกทมิฬว่าเป็นพวกโหดร้าย ครั้นไทยสืบพระพุทธศาสนากับสิงหลในลังกา จึงได้รับอิทธิพลความแค้นนี้มาด้วย การประณามลักษณะดังกล่าว อเมริกานำมาใช้ในการทำสงครามเพื่อการสร้างความไม่ชอบธรรมให้กับฝ่ายตรงข้าม สมัยโน้นมาจนถึงวันนี้ อเมริกาให้ประเทศบริวารใช้คำว่าผู้ก่อการร้ายต่อประเทศที่ตนเองต้องการทำลาย ไทยก็ใช้วิธีการดังกล่าวไปด้วย เช่น เรียกพวกที่แก้ปัญหาชาติด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ว่า เป็นพวกผู้ก่อการร้าย (จีน ลาว เวียดนาม และเขมรแดงในอดีต) เรียกอิสลามที่ต่อต้านการกดขี่จากตะวันตกว่า ผู้ก่อการร้าย (Terrorist) ประณามประเทศที่ต่อต้านตะวันตกว่าพวกส่งออกการก่อการร้าย เช่น เกาหลีเหนือ อิหร่าน ลิเบีย พม่า ที่ไทยต้องเรียกขานประเทศเหล่านั้น หรือปฏิบัติต่อคนของประเทศเหล่านั้นตามอเมริกาไปด้วย ก็เพราะผู้ปกครองอยู่ได้เพราะอเมริกากระเตงเอาไว้ จึงต้องเรียกตาม ทำตามอเมริกาไปด้วย (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนหนึ่งประกาศว่า ถ้าเอ็งไม่ใช่พวกข้า เอ็งก็เป็นพวกมัน (ประกาศหลังระเบิดตึกเวิลด์เทรด)

“เจนไน”เมืองทมิฬ มีลักษณะทมิฬ เพราะไปรุกรานประเทศอื่น แต่ปัจจุบันมหาอำนาจไปรุกรานคนอื่น แต่ไปเรียกคนอื่นว่าเป็น“ผู้ก่อการร้าย”เพราะใช้คำนี้ไปPropagandaให้ตัวนั่นเอง

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี