posttoday

คนจนผู้ยิ่งใหญ่

25 มีนาคม 2555

ลุงเอี่ยม ขอทานพิการเงินล้านได้ทำสิ่งที่คนไทยคาดไม่ถึงว่าคนพิการแขนขาลีบเดินไม่ค่อยถนัดต้องใช้ไม้เท้าพยุงกาย

โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

ลุงเอี่ยม ขอทานพิการเงินล้านได้ทำสิ่งที่คนไทยคาดไม่ถึงว่าคนพิการแขนขาลีบเดินไม่ค่อยถนัดต้องใช้ไม้เท้าพยุงกาย ซ้ำหูไม่ค่อยได้ยินเช่นลุงจะถวายเงินเป็นล้านให้วัดไร่ขิงสถานที่ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญและบ่อเกิดทรัพย์ของตน

คนไทยอาจไม่เคยเห็นคนพิการทำบุญด้วยการถวายเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ แต่พอลุงเอี่ยมทำจึงห้ามไม่ได้ที่ใครจะมีคนเอ่ยปากสรรเสริญวีรกรรมความกล้าของลุง ซึ่ง “ได้ใจ” คนทั้งประเทศไปแล้ว

ตอนนี้ลุงเอี่ยมกลายเป็นคนพิการผู้ยิ่งใหญ่ ปรากฏตัวที่ไหนใครก็รู้จัก ขนาดหายหน้าหายตาจากวัดไร่ขิงไปแค่วันเดียวผู้คนถามกันควั่ก!!

ฉะนั้น วีรกรรมความกล้าของลุงเอี่ยมจึงชวนให้ผมนึกถึงบุคคล 2 คนในสมัยพระพุทธเจ้า อย่างช่วยไม่ได้...

คนแรก พราหมณ์ จูเฬกสาฎก...คนนี้จนขนาดว่าเวลาจะไปวัดฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าต้องสลับเวลาไปกับภรรยา เนื่องจากมีเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ใส่ไปวัดอยู่ชุดเดียว ทั้งคู่ก็ตกลงกันปรากฏตอนค่ำสามีไป ส่วนภรรยาสายตาไม่ค่อยดี ขอไปกลางวัน

ถึงเวลาที่พราหมณ์ไปก็นั่งแถวหน้า แล้ววันนั้นพระพุทธเจ้าทรงเทศน์เรื่องทานเป็นที่ซาบซึ้งถึงใจพราหมณ์มากขนาดในยามต้น (เวลาหัวค่ำ) คิดจะถวายผ้าผืนนั้นแด่พระพุทธเจ้าเลยละ แต่พอจะถวายก็คิดถึงคนอยู่ที่บ้านพรุ่งนี้ก็จะต้องใส่ผ้าชุดนี้มา ตกลงในยามต้นไม่ได้ถวาย

ถึงยามสองพราหมณ์นั้นก็คิดถวายอีกแต่ก็ห่วงคนที่บ้านอีก แต่พอเข้ายามสามปรากฏว่าตัดใจเลิกคิดถึงภรรยา จะยังไงก็ช่างขอถวายละกัน แล้วก็นำผ้านั้นไปวางแทบพระบาทพระพุทธเจ้าถอยออกมาเปล่งเสียงดังๆ ว่า “ชิตัง เม ชิตัง เม แปลว่า ข้าชนะแล้วๆ”

พระเจ้าปเสนทิโกศลสดับพระธรรมเทศนาอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ทรงสงสัยว่าตาแกคนคนนี้ชนะอะไรจึงให้มหาดเล็กไปถามก็ทรงทราบว่าไม่ได้มีอะไรซ่อนเร้น เป็นความชนะเหนือความตระหนี่ที่อยู่ในใจพราหมณ์ จึงได้พระราชทานทรัพย์อย่างละ 4 คู่ แก่พราหมณ์ เช่น ช้าง 4 วัว 4 ควาย 4 ทาสชาย 4 ทาสหญิง 4 ฯลฯ เงิน 4,000 กหาปณะ และบ้านให้เก็บภาษีอีก 4 ตำบล กลายเป็นอนุเศรษฐีไปเลย

จริงๆ แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า พราหมณ์จะได้มากกว่านี้หากตัดสินใจถวายเร็วกว่านี้ คือ ถ้าถวายในยามต้นจะได้อย่างละ 12 คู่ ถ้าถวายในยามกลางจะได้อย่างละ 8 คู่

ไปดูความกล้าของอีกคน ชื่อ “มหาทุคตะ” แค่ชื่อก็บ่งชัดว่าจนมากเรียกว่าจนกว่าใครในเมือง บางวันเขากับภรรยาต้องไปขออาหารเดนที่ชาวบ้านกำลังจะเททิ้งมาประทังชีพ

วันหนึ่งมีเจ้าคนฉลาดคนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้าก็เกิดความกรุณาอยากให้พ้นความทุกข์ลำเค็ญจึงชวนเขาให้รับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระสักรูปหนึ่ง แต่เขาปฏิเสธเพราะไม่รู้ว่าจะเอาอาหารที่ไหนมาทำบุญ ลำพังชีวิตบางวันต้องขอเขากิน แต่เจ้าคนฉลาดก็ฉลาดพูดว่าคนในเมืองนี้ร่ำรวยไม่ต้องทำงานหนักก็ได้เงินมากมายเพราะเขาทำบุญมาดี ส่วนท่านยากจนเพราะไม่ค่อยให้ทาน ฉะนั้นจงรีบทำบุญเสีย

คำคำนี้ทำให้มหาทุคตะเห็นคล้อยตามอย่างแรง...ทำให้เขาตัดสินใจรับเลี้ยงพระ 1 รูป จากนั้นก็ไปรับจ้างพร้อมภรรยาที่บ้านเศรษฐีคนหนึ่งเพื่อหาเงินมาทำบุญ

เศรษฐีรู้ว่าเขารับจ้างเพื่ออะไรจึงเพิ่มค้าจ้างให้สองเท่า แต่พอรุ่งเช้าเจ้าคนฉลาดดันลืมจดชื่อเขาไว้ทำให้ไม่มีพระมารับภัตตาหาร เขาเสียใจมากจนเจ้าคนฉลาดละอายใจและกล่าวขอโทษ แต่ไม่ลืมที่จะบอกว่ายังเหลือพระพุทธเจ้า ถ้าท่านมีบุญพระองค์ก็จักรับอาราธนา

มหาทุคตะจึงมุ่งหน้าไปพบพระพุทธเจ้าทูลอ้อนวอนแล้วพระองค์ก็ประทานบาตรให้ เขารับบาตรมาด้วยความลิงโลดเสมือนได้จักรพรรดิสมบัติ แม้ใครจะต่อรองขอซื้อบาตรก็ไม่ขาย กลับตอบปฏิเสธว่า สิ่งที่ข้าฯ ปรารถนาที่สุดเวลานี้คือบุญ สมบัติแม้กองเท่าภูเขาข้าฯ ก็ไม่ต้องการ

ปรากฏหลังพระพุทธองค์เสด็จกลับสิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น กล่าวคือฝนรัตนะได้ตกลงมาที่บ้านของมหาทุคตะสูงท่วมถึงหัวเข่าสำแดงผลบุญให้เห็นทันตา

คนจนก็มีสิทธิทำบุญครับ จะมากจะน้อยไม่มีใครว่าและไม่ใช่ประเด็น ขอเพียงให้ทำด้วยใจจริงๆ ไม่ใช่ทำเอาแค่นี้บุญเป็นอันสัมฤทธิ์!!

ข่าวล่าสุด

ไปรษณีย์ไทย รับนโยบาย พร้อมเป็นช่องทาง ชำระภาษีนำเข้าต่างประเทศ