ไปดี-มาดี
ท่านผู้อ่านที่เคารพ เรื่องของการเดินทางนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดย...คุณสลิด
ท่านผู้อ่านที่เคารพ เรื่องของการเดินทางนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกวันอย่างน้อยก็ต้องเดินทางออกไปทำงาน ไปจับจ่ายซื้อข้าวของ ไปร่วมงานต่างๆ การไปมานั้น แม้ผู้ปฏิบัติธรรมหรือพระภิกษุสามเณร ก็ต้องมีการเดินทางเช่นกัน อย่างน้อยก็ต้องออกไปบิณฑบาต การที่จะไปไหนๆ ใครๆ ก็อยากได้ชื่อว่า ไปดี-มาดี กันทั้งนั้น แต่อย่างไรเล่าจะเรียกว่า ไปดี-มาดี?
ในทางธรรมมีหลัก เรียกว่า “โคจรสัมปชัญญะ” แปลตามศัพท์ว่า ความรู้ทั่วพร้อมในการเที่ยวไป หรือการเที่ยวไปด้วยความรู้ (ตัว) ทั่วพร้อม รายละเอียดของโคจรสัมปชัญญะนั้น น่าสนใจศึกษาสำหรับทุกคนที่ต้องมีการเดินทางจะใกล้ไกลไปไหนก็ตาม หากมีโคจรสัมปชัญญะ ก็นับว่า ไปดีมาดี ได้
การจะมีโคจรสัมปชัญญะนั้นอรรถกถาสามัญญผลสูตร กล่าวไว้ 2 เรื่อง คือ ต้องใคร่ครวญถึง “ประโยชน์” และ “สัปปายะ”
ประโยชน์ หมายถึง สาตถกสัมปชัญญะ คือ พิจารณาดูว่าไปแล้วเกิดประโยชน์หรือไม่เกิดประโยชน์ (เกิดโทษ) ประโยชน์นั้นหมายถึง ความเจริญของฝ่ายธรรมะ คือ กุศลธรรมเจริญ คุณความดีเจริญ เช่น ไปเพื่อเห็นพระเจดีย์ เห็นพระศรีมหาโพธิ์ เห็นพระเถระ หรือการเห็นอสุภะ (เช่น การเห็นซากศพที่เป็นเพศเดียวกัน แล้วนำมาพิจารณา) สิ่งเหล่านี้เมื่อเห็นแล้วพิจารณาด้วยดีกุศลธรรมย่อมเกิด ท่านเรียกว่า มีประโยชน์ อาจารย์บางพวกอนุเคราะห์รวม การไปเพื่อความเจริญแห่งฝ่ายอามิส (คือ การแสวงหาปัจจัย 4) ก็นับว่ามีประโยชน์เหมือนกัน เพราะอาศัยอามิสนั้นปฏิบัติเพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ หากเป็นอย่างนี้ก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าอามิสนั้นเป็นไปเพื่อความโลภ เพื่อความสะสม เป็นต้น ก็ไม่เป็นประโยชน์ เกิดกิเลส เป็นโทษ
สัปปายะ หมายถึง สัปปายะสัมปชัญญะ คือ ความไม่มีอันตรายต่อพรหมจรรย์ ต่อความดี คือ พิจารณาให้เห็นว่าการไปนั้นมีอันตรายต่อความดีหรือไม่ เช่น การไปเห็นพระเจดีย์ เป็นสัปปายะ การเห็นอสุภะ เป็นสัปปายะ แต่หากไปในขณะที่เขากำลังจัดงานกันใหญ่โตเพื่อฉลองพระเจดีย์ มีการสร้างมณฑปใหญ่ ผู้คนตกแต่งประดับร่างกาย ดูงดงามราวกับภาพจิตรกรรม พากันเดินไปเดินมา ที่นั่นโลภะย่อมเกิดแก่ภิกษุได้เพราะอารมณ์ที่น่าปรารถนา อย่างนี้ไม่สัปปายะ การไปบางอย่างมีอันตราย คือ ปฏิฆะ (ความไม่พอใจ) ย่อมเกิดเพราะอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา หรือโมหะย่อมเกิด เพราะการไปโดยไม่พิจารณา การไปอย่างนี้ย่อมต้องอาบัติบ้าง ย่อมเป็นอันตรายแก่ชีวิตบ้าง อันตรายแก่พรหมจรรย์บ้างก็มี เรียกว่า ไม่สัปปายะ แม้การเห็นพระเถระที่มีบริษัทบริวารมากก็พิจารณาตามนัยนี้เหมือนกัน ดังนั้นหากมีอันตราย จะทำให้อกุศลเกิด ก็ไม่สัปปายะ หากไม่มีอันตรายก็นับว่าที่นั้นเป็นสัปปายะ
การเป็นผู้ใคร่ครวญถึงประโยชน์และสัปปายะอย่างนี้ ย่อมชื่อว่า โคจรสัมปชัญญะ เพื่อความกระจ่างยิ่งขึ้นในอรรถกถา ได้แสดงถึงเรื่องการไปกลับโดยรักษาอารมณ์กรรมฐานไว้ด้วยว่า
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ นำไป ไม่นำกลับ บางรูป นำกลับ ไม่นำไป แต่บางรูป ไม่นำไป ไม่นำกลับ บางรูป นำไปด้วย นำกลับด้วย
การเลือกอารมณ์ คือ กรรมฐานที่ตนชอบใจในบรรดากรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ แล้วยึดเอาอารมณ์นั้นเท่านั้นไปในที่ที่ภิกขาจาร (เป็นต้น) ของภิกษุผู้ใคร่ครวญถึงประโยชน์และสัปปายะอย่างนี้ ชื่อว่า “โคจรสัมปชัญญะ”
เนื่องจากไม่มีใครสามารถเข้าสมาธิได้ตลอดเวลา จะต้องมีการเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาตบ้าง เพื่อไหว้พระเจดีย์บ้าง ไปฟังธรรมบ้าง ไปทำกิจต่างๆ ที่จำเป็นในสรีระบ้าง ดังนั้นการไปทำกิจต่างๆ ควรนำกรรมฐานไปและนำกรรมฐานกลับ ผู้ที่ขาดสติเสียในระหว่างทาง เช่น ภิกษุบางรูปรักษากรรมฐานเดินไป แต่พอไปถึงละแวกบ้านกลับยินดีเพลิดเพลินในชาวบ้าน ในของที่ได้รับ หลงลืมกรรมฐาน อย่างนี้คือ นำกรรมฐานไป ไม่นำกรรมฐานกลับ บางรูปเกิดความหิวมากแต่เช้า รีบร้อนไปบิณฑบาตโดยไม่ได้พิจารณา แต่พอกลับมาได้ฉัน 2-3 คำ ก็คิดได้รักษากรรมฐานกำหนดพิจารณาจนฉันเสร็จ อย่างนี้เรียกว่า นำกรรมฐานกลับ ไม่นำกรรมฐานไป
โคจรสัมปชัญญะ ไม่ใช่เรื่องของพระภิกษุเท่านั้น แม้ฆราวาสทั้งหลายก็ควรนำมาปฏิบัติ เพราะจะเกิดแต่ผลดี เป็นการลดละอกุศลเจริญปัญญาและทำให้กุศลธรรมเจริญงอกงามไพบูลย์ ...


