posttoday

แม่ทา...ชุมชนต้นแบบ & ความสุขที่ยั่งยืน

02 มีนาคม 2555

ต.แม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในชุมชนที่สามารถจัดการทรัพยากรโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ผ่านการต่อสู้มากมายจากรุ่นสู่รุ่น

โดย...ภัสรา จักคำ

ต.แม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในชุมชนที่สามารถจัดการทรัพยากรโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ผ่านการต่อสู้มากมายจากรุ่นสู่รุ่น จนสามารถอยู่ได้ด้วยภูมิปัญญาตามวิถีชนบท และเป็นที่ยอมรับจนกลายเป็นชุมชนต้นแบบของความยั่งยืนได้ พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไร โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากภาครัฐ หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นปัจจัยหลักเฉกเช่นชีวิตคนเมือง อีกทั้งมีรายได้และมีมวลความสุขมากกว่าคนเมืองหลายๆ คนเป็นไหนๆ การต่อสู้จนนำไปสู่วิถีชนบทที่มีความยั่งยืนจะเป็นอย่างไร คงต้องศึกษาเรียนรู้ร่วมกันต่อไป

ระยะทางกว่า 80 กิโลเมตรจากตัวเมืองแม่ออน เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ ต.แม่ทา บ้านเรือนที่เริ่มปลูกขยับออกห่างไปเรื่อยๆ ประกอบกับมีพื้นที่สีเขียวจากการทำการเกษตรมากขึ้น ขณะที่ถนนคอนกรีตเริ่มคดเคี้ยวและแคบลงเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกได้ว่ากำลังเข้าสู่เขตชนบท จนกระทั่งพบป้าย “ยินดีต้อนรับสู่แม่ทา” ทำให้รู้ว่าใกล้ถึงจุดหมายเต็มที แต่ที่น่าสงสัยบนป้ายนั้นบอกกับผู้มาเยือนว่าตำบลนี้อยู่ในส่วนรับผิดชอบของ จ.ลำพูน?

 

 

แม่ทา...ชุมชนต้นแบบ & ความสุขที่ยั่งยืน

อนันต์ ดวงแก้วเรือน ผู้ต่อสู้เพื่อวิถีชุมชนรุ่นบุกเบิกไขข้อสงสัยโดยไม่ต้องซักถามว่า ต.แม่ทา เป็นหนึ่งใน อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ตามที่ระบุในทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน แต่ได้รับการดูแลหรือมีส่วนรับผิดชอบที่ขึ้นกับ จ.ลำพูน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับ จ.ลำพูน และเพิ่งจะโอนย้ายความรับผิดชอบมาที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อไม่นานมานี้ และนี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ภาครัฐเพิกเฉยและผลักความรับผิดชอบซึ่งกันและกัน

ผู้ต่อสู้เพื่อชุมชนพาย้อนเวลาเล่าประสบการณ์ว่า เมื่อก่อนชาวบ้านสามารถอยู่ได้ด้วยภูมิปัญญาอย่างมีความสุข เพราะมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ แต่ปัญหาต่างๆ ก็เกิดขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติของชาวแม่ทาถูกทำลายลงอย่างถูกกฎหมายจากนโยบายรัฐ โดยการให้สัมปทานป่าแก่นายทุน และมีชาวบ้านเข้าร่วมตัดไม้ทำลายป่าด้วย นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนส่งเสริมจากภาครัฐให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยว เพื่อความสะดวกในการดูแลรักษา ทั้งหมดนี้เป็นข้อแนะนำจากผู้ที่เรียกตัวเองว่า “คน” และอ้างว่าเป็น “ความรู้ใหม่” เมื่อป่าถูกทำลายก็ไม่มีน้ำ สุดท้ายชาวบ้านก็อยู่ไม่ได้...ปฏิบัติการพึ่งพาตนเองและกลับไปสู่ภูมิปัญญาชาวบ้านจึงเริ่มขึ้น

สวัสดิ์ สุขจันทร์ ประธานเครือข่ายการจัดการทรัพยากร หรือผู้สืบต่อรุ่น 2 เล่าว่า แม่ทามีการเลี้ยงผีที่เรียกว่า “ผีขุนน้ำ”...เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดปี แต่การเลี้ยงผีขุนน้ำคืออะไร? และจะทำให้มีน้ำใช้ได้อย่างไรเล่า?

การเลี้ยงผีขุนน้ำเป็นความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า ตามต้นน้ำหรือป่าไม้จะมีผีหรือเจ้าที่คอยดูแลอยู่ จึงต้องมีการทำพิธีกรรมเพื่อเลี้ยงผี จะได้ทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี โดยจะจัดพิธีเลี้ยงผีขึ้นในวันแรม 9 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี ซึ่งตรงกับเดือน มิ.ย.ตามปฏิทินสากล โดยจะรับบริจาคเงินจากชาวบ้านที่ต้องใช้น้ำจากต้นน้ำนั้นๆ เพื่อมาประกอบพิธีร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันทั้งตำบลมีผีทั้งหมด 4 ตัว ที่หล่อเลี้ยงชาวแม่ทาทั้ง 7 หมู่บ้าน นอกจากนี้ประโยชน์อีกอย่างที่จะได้เมื่อมีการจัดพิธีเลี้ยงผี คือ เป็นเวทีพบปะกันของชาวบ้านที่ใช้แหล่งน้ำเดียวกัน แกนนำรุ่น 2 เล่า

 

เจ๋ง เป็นเยาวชนชาวแม่ทาคนหนึ่ง ได้ถ่ายทอดวิถีชาวแม่ทา ว่า ชาวบ้านจะทำพิธีเลี้ยงผีสืบทอดต่อกัน เพราะเชื่อว่าทำให้ป่าสมบูรณ์และมีน้ำใช้จริงๆ เพราะก่อนหน้านี้หากเป็นช่วงหน้าแล้งตามห้วยต่างๆ จะไม่มีน้ำเลย แต่เมื่อทำพิธีสืบต่อมาก็มีน้ำพอใช้ตลอดปี และนอกจากผีขุนน้ำที่อยู่ที่ต้นน้ำแล้ว ยังมีผีเหมือง ผีฝาย ที่จะต้องทำพิธีขอหากจะมีการทำฝายเพื่อกันน้ำเข้านาด้วย และที่ผ่านมาความศักดิ์สิทธิ์ของผีเหมือง ผีฝาย ก็ทำให้เห็นว่าถ้ามีคนไปลบหลู่หรือพูดจาไม่ดี ก็จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับคนนั้น เจ๋ง สะท้อนความเชื่อเช่นนั้น

กนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน นายก อบต.แม่ทา หรือผู้สืบต่อรุ่น 3 ยอมรับว่าอีกปัญหาหนึ่งที่ต่อสู้กันมายาวนานตั้งแต่รุ่นบุกเบิก คือ พื้นที่แม่ทาถูกกฎหมายป่าไม้และป่าสงวนต่างๆ มาจำกัดพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ซึ่งต้องผ่านการต่อสู้ตั้งแต่การร้องเรียนผ่านผู้ใหญ่หรือแกนนำ ปิดถนน ประท้วงหน้าทำเนียบฯ แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือ คณะกรรมการชุดหนึ่งที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่ก็หายไปพร้อมกับรัฐบาลที่เปลี่ยนชุดไปด้วย สุดท้ายก็ไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาใดๆ

แม่ทา...ชุมชนต้นแบบ & ความสุขที่ยั่งยืน

 

การจะทำกินในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิเพียงไม่กี่ไร่กับจำนวนประชากรกว่า 5,000 คน ก็คงจะยาก จึงต้องวางกฎหมายเหล่านั้นลงก่อน และจัดการจัดสรรพื้นที่และทรัพยากรธรรมชาติของแม่ทา ภายใต้แนวคิดที่ว่าคนจะต้องอยู่กับป่าได้อย่างสมดุล ในขณะเดียวกันต้องไม่ทำให้ป่าเสียหาย ดังนั้นสิ่งที่นายก อบต. เลือกทำ คือ การหันมาพึ่งพาตนเอง นำปัญหาต่างๆ มาพูดคุยกันในเวทีตำบล ปลุกชาวบ้านให้ลุกขึ้นสู้เพื่อชุมชน จนนำไปสู่การออกแบบจัดการพื้นที่ 7.2 หมื่นไร่ของชาวแม่ทา โดยชาวแม่ทาเอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ โซนพื้นที่ป่าสงวน คือ พื้นที่อนุรักษ์ห้ามเข้าไปใช้ประโยชน์ เพราะเป็นพื้นที่ต้นน้ำและมีความหลากหลายทางชีวภาพ โซนพื้นที่ป่าใช้สอย คือ พื้นที่ที่ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการชุมชน และโซนพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน

ผู้นำรุ่น 3 อธิบายถึงการจัดตั้งคณะกรรมการป่าไม้ของชุมชนว่า เป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจากการยกมือจากประชาชนชาวแม่ทาเอง จาก 7 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 15 คน มาช่วยกันดูแลป่าไม้และควบคุมการใช้ประโยชน์จากป่า โดยมี “บัญญัติตำบล” เป็นเครื่องมือ ซึ่งเปรียบเหมือนกฎหมายที่ตั้งขึ้น ซึ่งกฎหมายหรือบัญญัติตำบลฉบับนี้มีที่มาจากการร่างกฎและลงมติร่วมกันของชาวบ้านเอง โดยมีการรับรองของรัฐบาลท้องถิ่นอย่าง อบต.แม่ทาเอง กลายเป็นการควบคุมกันเองโดยใช้มาตรการทางสังคมของชาวแม่ทา โดยชาวแม่ทา เพราะเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถดูแลหรือทำหน้าที่ได้ดีเท่าชาวแม่ทาเองแน่นอน

เมื่อการจัดสรรพื้นที่ป่าได้ลงตัวและเป็นที่ยอมรับของภาครัฐ จนกลายเป็นการหนุนเสริมซึ่งกันและกัน สิ่งต่อมาคือการสร้างความยั่งยืนให้กับชาวแม่ทา โดยการหารูปแบบการเกษตรที่สามารถสร้างรายได้มากพอกับคนที่ทำงานในเมือง แต่ไม่ต้องทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และคำตอบที่ได้ก็คือ การทำการเกษตรยั่งยืน...

เมื่อพูดคุยกันในภาคทฤษฎี ก็ถึงเวลาลงพื้นที่ปฏิบัติทัวร์รอบหมู่บ้านเพื่อการเรียนรู้...โดยแบ่งออกเป็นสถานี

สถานีแรก...แปลงเกษตรอินทรีย์ของ พัฒน์ อภัยมูล ผู้ริเริ่มทำเกษตรยั่งยืนและเจ้าของแปลงเกษตรประเภทผักสวนครัวที่มีพื้นที่ไม่มากมายนัก รอบๆ บ้านเป็นที่ทำกิน พ่อพัฒน์ เล่าว่า เมื่อก่อนก็วิ่งตามที่รัฐแนะนำ ปลูกพืชเชิงเดี่ยว แต่ทำไปได้สักระยะก็เริ่มขาดทุน เพราะต้นทุนสูงมากในขณะที่ราคาผลผลิตยังคงเท่าเดิม จนเป็นหนี้เป็นสิน จึงคิดว่าต้องหันกลับไปสู่อดีตปลูกพืชที่กิน กินที่ปลูก และปลูกอย่างหลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงด้านตลาดลง รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายลงได้ด้วย และใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงควบคู่ไปกับการดำรงชีวิต จนกระทั่งสามารถปลดหนี้ได้ แต่ทุกอย่างก็ต้องมีการวางแผนไปสู่เป้าหมายที่สามารถเป็นไปได้

พ่อพัฒน์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า เด็กรุ่นใหม่ลูกหลานเกษตรกรที่ไหลเข้าเมือง ไม่อยากทำเกษตรต่อก็เพราะการเกษตรของไทยผิดพลาดทุกขั้นตอน ทำให้เกษตรกรจนลงเพราะอาศัยปุ๋ย โรงสี ยาฆ่าแมลงข้ามชาติ และมีหน้าที่ตากแดดให้หน้าดำ อีกทั้งผู้บริโภคยังมาทำลายเกษตรกรรายย่อย โดยการร้องเรียนเมื่อราคาผลผลิตขึ้นราคา ทั้งที่เกษตรกรเองไม่มีสิทธิตัดราคาหรือกำหนดราคาผลผลิตเอง ทำให้เกษตรกรรายย่อยหายไปเพราะขาดทุน และอนาคตจะเกิดการผูกขาดสินค้าเกษตรเฉพาะกับบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น

 

สิ่งที่พ่อพัฒน์คาดหวังในอนาคต คือ สามารถดึงลูกหลานให้กลับบ้านมาสานต่อการทำเกษตรยั่งยืน และมีการร่วมมือกันระหว่างรัฐและส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดึงให้คนรุ่นใหม่มาสนใจและสนับสนุนเกษตรกร เพื่อรักษาอาชีพหลักของชาติต่อไป

สถานีต่อไป...แปลงเกษตรอินทรีย์ของ ต้น หรือ อาภากร เครื่องเงิน เด็กรุ่นใหม่ที่เลือกกลับมาทำการเกษตรยั่งยืนที่บ้านเกิดที่มีอยู่ราว 10 ไร่ ปีหนึ่งๆ ปลูกพืชกว่าร้อยชนิดหมุนเวียนไปตามฤดูกาลที่เหมาะสม

แม่ทา...ชุมชนต้นแบบ & ความสุขที่ยั่งยืน

เด็กหนุ่มชื่อ ต้น เล่าว่า เมื่อก่อนเคยทำงานในเมืองมาก่อน และมีรายได้ไม่พอใช้จ่าย ยังต้องขอเงินจากพ่อแม่ จึงหันกลับมาคิดถึงอาชีพเดิมของบรรพบุรุษอย่างการทำการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพอิสระ ไม่ต้องใช้จ่ายมากเหมือนอยู่ในเมือง จึงกลับมาใช้พื้นที่เดิมของพ่อแม่ปลูกผักต่างๆ ตามฤดูกาล โดยใช้รูปแบบเกษตรอินทรีย์ โดยมีการร่วมกลุ่มกับเพื่อนเยาวชนรุ่นเดียวกัน 5 คน เพื่อศึกษารูปแบบการตลาดที่หลากหลาย คือ มีตลาดรองรับทั้งปลีกและส่ง นอกจากนี้มีการสร้างตลาดรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า CSA (Communication Supported Agricukture) ที่มีไม่กี่แห่งในเมืองไทย

เพิก หรือ ยุทธศักดิ์ ยืนน้อย 1 ใน 5 คนของกลุ่มที่ตัดสินใจกลับบ้านเกิด บอกว่า การตลาดแบบ CSA เป็นการตลาดที่จะส่งผลผลิตไปถึงผู้บริโภคได้โดยตรง โดยผู้บริโภคจะเป็นส่วนช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย จะมีการจ่ายเงินล่วงหน้าให้เกษตรกรเพื่อใช้เป็นทุนในการทำการเกษตรต่อไป นอกจากนี้การตลาดแบบนี้จะทำให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถพบปะกันและมีเวทีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันด้วย เพิก อธิบายหลักการตลาดรูปแบบใหม่

ส่วน CSA ที่ต้นปรับใช้นั้น จะส่งสินค้าให้ผู้บริโภค 1 กล่องทุกสัปดาห์ โดยคิดราคากล่องละ 200 บาท ภายในกล่องมีผักและผลไม้รวมกัน 7 ชนิด โดยแบ่งกลุ่มสินค้าเป็น 3 แบบ และแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็น 3 กลุ่ม เพื่อหมุนเวียนให้เกิดความหลากหลายทั้งสินค้าและลูกค้า โดยจะเก็บเงินล่วงหน้าจากผู้บริโภคก่อน 10 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมร่วมกัน เช่น การจัดกิจกรรมเยี่ยมสวนผักเพื่อดูวิธีการผลิต หรือสัมผัสวิถีเกษตรกร เป็นต้น

ต้น บอกว่า ขณะนี้ลูกค้า CSA ยังมีจำนวนน้อยและเป็นกลุ่มเฉพาะ ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68