ประสบการณ์ รับ ‘มันตรา’
เป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะ ที่มีโอกาสได้ไป “รับมันตรา” ซึ่งฟังตอนแรกอาจดูงงๆ
เป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะ ที่มีโอกาสได้ไป “รับมันตรา” ซึ่งฟังตอนแรกอาจดูงงๆ
โดย...หนูดี–วนิษา เรซ
เป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะ ที่มีโอกาสได้ไป “รับมันตรา” ซึ่งฟังตอนแรกอาจดูงงๆ ว่า “มันตรา” คืออะไร และต้องไปรับกันด้วยหรือ และถ้าจะไปรับต้องไปรับตอนไหน ที่ไหน อย่างไร
สารภาพว่าตอนแรกหนูดีเองก็ไม่รู้จักเช่นกัน เพราะเป็นพิธีกรรมที่ไม่ใช่ของชาวพุทธและดูเหมือนมีกลิ่นของเวทมนตร์คาถาอะไรแบบนั้น แต่เมื่อได้ไปเข้าร่วมงานภาวนาของท่านสวามี เวทะ ภารตี 3 วัน ก็เริ่มได้ฟังแนวคิด คำสอน ที่ชาวพุทธอย่างหนูดีรับได้สนิทใจ ซึ่งไม่ทราบว่าใครเป็นคนชงประเด็นให้ท่านบรรยายธรรมในหัวข้อที่หนูดีได้ฟังไป แต่ยอมรับว่ามันทำให้หนูดีเปิดใจกว้างขึ้นมากกับหลายๆ ศาสนาที่เราเคยคิดว่าเราเป็น “คนนอก” มาก่อน เช่น คริสต์ ฮินดู อิสลาม
ครั้งนี้ หนูดีมีโอกาสได้ฟังในสิ่งที่คงไม่มีวันไปสรรหามาอ่านเอง นั่นก็คือคัมภีร์พระเวทและมหาปตัญจลี ซึ่งท่านสวามีได้บอกว่าจะเล่าเรื่องคำสอนในคัมภีร์พระเวทให้ฟังและถามเราก่อนว่า “อริยสัจ 4” ประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาก็ตอบไปแบบหมูๆ ว่า “อ๋อ มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค” ท่านเลยเล่าว่า คัมภีร์พระเวทสอนเรื่องการพ้นทุกข์ มี 4 ขั้นตอน แปลแล้วได้ใจความเดียวกับทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เปี๊ยบ ท่านเลยสอนต่อไปว่า
มหาบุรุษทุกคนในโลกนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อต่อต้านขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิมที่มีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดมาเพื่อต่อต้านศาสนาฮินดู หรือพระเยซูก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อต่อต้านความเชื่อดั้งเดิมตรงนั้น แต่มหาบุรุษทุกคนเกิดมาเพื่อต่อยอดในสิ่งที่มีอยู่แล้วให้สมบูรณ์ขึ้นไปอีก ฟังแล้วเห็นด้วยนะคะ ยิ่งมองไปที่มหาบุรุษแต่ละคน คำสอนก็มักสอนให้คนมีความรักกับตัวเอง กับคนอื่น กับสัตว์ กับพืชพรรณ ฟังมาถึงตรงนี้ ท่านสวามีก็ยกตัวอย่างในศาสนาฮินดูและคำสอนของพระเยซูที่พูดประโยคเดียวกันเลยว่า “จงรักคนอื่นเหมือนที่ท่านรักตัวเอง” ซึ่งแน่นอนว่าคำในสองศาสนาคงไม่เหมือนกันเป๊ะๆ แต่ใจความหลักคือสิ่งเดียวกันเลย ยิ่งฟังท่าน หนูดียิ่งอยากหาเวลาไปเข้าโบสถ์พร้อมกับเพื่อนๆ ในวันอาทิตย์สักครั้ง แล้วลองแวะไปวัดแขกดูบ้างเพื่อไปไหว้เทพในศาสนาของชาวอินเดีย เพราะท่านแสดงธรรมให้เห็นชัดเจนเลยว่า แค่คำพูดที่เราพูดกันชินๆ ว่า “ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี” นั้น มันอาจมีอีกสิ่งที่ลึกกว่าคือ ทุกศาสนาในโลกนี้คือศาสนา “เดียวกัน” หรือเปล่า คือ จุดหมายปลายทางเป็นแห่งเดียวกัน แต่เส้นทางที่ให้เลือกเดินเราก็มีหลายเส้นทาง เปรียบเทียบเหมือนเราจะไปเซ็นทรัล คือ ไปถนนเส้นไหนก็ได้ ถ้าจุดหมายปลายทางเป็นเซ็นทรัลเหมือนกันก็จบ ไม่หลงแน่นอน แต่เส้นทางที่เลือกก็ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละคน
ฟังไปฟังมาชักเปิดใจค่ะ ฟังแล้วเข้าเค้าไม่รู้สึกแปลกแยก พอมีการชวนกันถึงการไป “รับมันตรา” ในวันหลังกับศิษย์เอกคนหนึ่งของท่านสวามี คือ ดร.สตีเฟนส์ ซึ่งจะยังคงอยู่รั้งท้ายอีกประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อมอบมันตราให้คนที่สนใจรับ หนูดีก็ไม่ได้ไปลงชื่ออะไรด้วยอยู่ดี เพราะรู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม เพราะว่าเมื่อรับมันตรามาแล้ว คุณควรจะ
1.มีเวลาประจำวันที่คุณจะนั่งสมาธิ พร้อมกับการท่องมันตรา “ทุกวัน” จะเป็น 5 นาที 10 นาที ถึงครึ่งและหนึ่งชั่วโมงก็ได้ (ตรงนี้เก๋มาก เพราะความเชื่อของสายนี้คือ “กูรู” หรือ ครูของพวกเขาตายแล้วไม่ไปไหน แต่สืบทอดสายกันลงมาเป็นพันๆ ปี ครูเก่าๆ จะยังคงอยู่เพื่ออวยพร ให้พร และช่วยเหลือในการปฏิบัติของศิษย์รุ่นหลังๆ ดังนั้นการกำหนดเวลาประจำวันจะช่วยทำให้ครูหาเราเจอ หรือตามที่ท่านสวามีพูดว่า So the gurus know when to find you. เอากับเขาสิคะ ฟังแล้วขนลุก)
2.ทุกวันพระจันทร์เต็มดวง ควรนั่งสมาธิพร้อมกันกับลูกศิษย์ที่อื่นๆ ทั่วโลก เวลาในไทยคือ 1 ทุ่มตรง จะนั่งนานเท่าไรก็ได้ แต่ไม่ควรต่ำกว่า 5 นาที (ท่านสวามีจะตื่นขึ้นมานั่งสมาธิร่วมกับลูกศิษย์ทั่วโลก 5 ครั้งตลอดทั้งคืนเพ็ญ สำหรับเดือนนี้คือวันที่ 21 ค่ะ)
3.ระหว่างวัน ครั้งละ 23 นาที ควรท่องมันตราส่วนตัว จะเป็นเวลารถติด รอเพื่อน หรือว่างๆ ตอนไหนก็ได้
ฟังแล้ว รู้สึกว่าอาจยังไม่พร้อม แต่พอไปดูรายชื่อคนเข้ารับมันตรา อ้าว มีชื่อแม่เราด้วย หนูดีก็เลยไปถามแม่แบบงงๆ ว่า “แม่อินขนาดจะไปรับมันตราเลยหรือจ๊ะ” คำตอบคือ ใช่แล้ว ดังนั้น ในเมื่อเราสองคนไปไหนไปกันเลือดสุพรรณ หนูดีนั่งทำใจอยู่ 1 สัปดาห์ และสู้ๆ ค่ะ สมัครไปรับมันตรากับเขาด้วย
พอไปถึงสถานที่ ซึ่งเป็นห้องรับแขกในคอนโดส่วนตัวแห่งหนึ่ง มีเพื่อนๆ ที่เรียนโยคะและสมาธิ ไปกัน 7 คนต่อรอบ ก็ง่ายๆ ค่ะ คือ มีการนั่งและนอนสมาธิตามที่เรียนมา รอระหว่างจะถึงคิวเรา พอถึงคิว เราก็เข้าไปนั่งสมาธิร่วมกับครู (คือ ดร.สตีเฟนส์) และนั่งไปสักพัก เมื่อครูได้ยินมันตราสำหรับเราก็จะมากระซิบที่หูด้านหนึ่ง ซึ่งเราต้องจำมนตร์บทนี้ไว้ และห้ามแบ่งกับใคร เขาเรียกเป็น Private speech with your gurus. หนูดียังไม่บอกแม่เลยค่ะ มี 8 คำเอง ก็เอาไว้ท่องเรื่อยๆ เป็นภาษาแขกเลย ก็แปลกและเก๋ดี
นับไปนับมา หนูดีมีครูทางจิตวิญญาณ 3 คนพอดี แต่ไม่มีคนไทยเลยสักคนเดียว ประหลาดมากค่ะ ทั้งๆ ที่เราก็ปฏิบัติภาวนาในเมืองไทยนี่เอง เล่าแล้วก็เลยต้องรีบบอกว่า ในวันที่ 234 มี.ค.นี้ ที่บ่อพลอยก็จะมีการฝึกสมาธิ ฝังดินดูดพิษ และสอนรำมวยอีกเช่นเคย หนูดีก็จะไปค่ะ ใครพลาดตอนปีใหม่ขอเรียนเชิญในครั้งนี้ โทร.ถามได้ที่ 0220415315 แล้วพบกันนะคะ หนูดีไปแล้วไปอีก เหมือนเติมพลังให้ตัวเองและแจ้งข่าวหนังสือ “Brain Power 2–คู่มือเพิ่มความสุขทุกๆ วัน” เล่มล่าสุดของหนูดีวางแผงแล้วค่ะ เป็น Organizer ด้วย ลองหามาอ่านดูนะคะ และรอฟังคำแนะนำดีๆ เสมอ เพื่อปรับปรุงทุกๆ เล่มให้ดียิ่งขึ้นค่ะ


