อ่านนอกเวลา เด็กเรียนต้องอ่าน
หากใครเคยผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนที่ (บังคับ) ให้ต้องอ่านหนังสือนอกเวลา คงจะพอย้อนนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นออก
หากใครเคยผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนที่ (บังคับ) ให้ต้องอ่านหนังสือนอกเวลา คงจะพอย้อนนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นออก
โดย..มัทรียา
หากใครเคยผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนที่ (บังคับ) ให้ต้องอ่านหนังสือนอกเวลา คงจะพอย้อนนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นออก เพราะมีทั้งหนังสือที่ชอบอ่านแล้วสนุก และหนังสือที่ไม่ถูกจริตกับเราสักเท่าไหร่แต่ก็ต้องอ่าน แต่สำหรับหนังสือ “อ่านนอกเวลา” เล่มนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหลักสูตรที่ว่า แต่เป็นอีกหนึ่งเล่มที่อยากแนะนำให้นักเรียน/นักศึกษาหามาไว้อ่านนอกเวลาเรียน.... เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นตัวจุดประกายชี้ทางใดทางหนึ่ง
“วิษณ์ (บอย)” หรือชื่อจริง “วิษณุ แทนบุญช่วย” ใช้เวลาเขียน “อ่านนอกเวลา” นาน 2 ปีเต็ม ช่วงทำวิจัยปริญญาเอกที่ไต้หวัน ด้วยความตั้งใจอยากเล่าประสบการณ์เรื่องการเรียนที่ผลิกจากร้ายมาเป็นดี เนื้อหาในเล่มเป็นชีวิตจริงของเด็กไม่เอาถ่านที่เกือบโดนรีไทร์ แต่กลับจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยม และไปไกลถึงการศึกษาระดับปริญญาเอก
“ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ผมพบจุดเปลี่ยนในความคิดสามจุด จุดเปลี่ยนที่หนึ่ง ผมได้ออกค่ายอาสากับชมรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ทำให้มีโอกาสได้ลงไปสัมผัสชีวิตจริงๆ ของสังคมไทย ทำให้ผมรู้ว่าเราทุกคนสามารถแบ่งปันกันและกันได้
จุดที่สอง ผมได้ลองอ่านหนังสือใหม่ๆ นอกตำราเรียน ทำให้ผมรู้ว่ามีอีกหลายสิ่งในโลกที่เราไม่เคยรู้ว่ามันมี และจุดที่สาม ผมได้พบอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านทำให้ผมรู้ว่าการเรียนรู้ของเรากับการหมุนของโลก มันสามารถไปด้วยกันได้ และสิ่งเหล่านี้เองทำให้ผมเริ่มสนุกกับการเรียน
เมื่อเรารู้ว่าเราสามารถเข้าใจและสามารถช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของสังคมได้ เราสามารถมีส่วนในการช่วยหมุนโลกใบนี้ได้ ผมจึงหลงใหลการเรียนรู้ ชอบการศึกษา และรักการเดินทาง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนนี้ ตอนที่เป็นนักเรียนเกรียนๆ เรียนปริญญาเอกอยู่ที่ไต้หวัน”
หนังสือ “คู่มือเด็กดื้อ” ของ “โหน่งวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์” เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ชีวิตของวิษณุเปลี่ยนไป
“ผมใช้ชีวิตเรียนไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดมุ่งหมาย รู้แต่มีหน้าที่เรียนก็เรียน เรียนไปเตะบอลไป จีบสาวไป ง่วงก็ไม่ไปเรียน แต่พอได้อ่านหนังสือคู่มือเด็กดื้อ ทำให้ผมเข้าใจว่าจุดเปลี่ยนของวัยรุ่นมีทางเลือกตั้งเยอะแยะ ก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะหาทางเลือก และผมก็ได้มีโอกาสได้คุยกับพี่โหน่ง จากชีวิตที่ไหลๆ ผมมุ่งตรงไปสู่ที่เราอยากเป็นดีกว่า
ตอนนั้นอยากเป็น 3 อย่าง หนึ่ง วิศกรเคมีตามที่เรียนเลย สอง อยากเป็นนักเขียนหลังจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ และสาม อยากเป็นอาจารย์ เพราะผมรู้สึกว่าไม่ชอบวิธีสอนของอาจารย์บางคนเลยอยากเป็นเอง”
วิษณุใช้เวลา 7 ปี ในการฝึกเขียนเรื่องราวต่างๆ ทั้งเขียนไดอะรี เขียนบล็อกในอินเทอร์เน็ตเพื่อฝึกฝีมือ
“ตั้งแต่ปี 2544 ใช้เวลาอยู่ 7 ปี ฝึกเขียนทุกวัน ทำหนังสือทำมือ ขายไม่ได้ก็แจกเขาไป หัดเขียนบล็อก ไดอะรี... จนปี 2551 รู้สึกว่าเราจะเขียนแบบเดิมไม่ได้แล้ว อยากทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ เลยเก็บกระเป๋าไปอยู่แอฟริกาใต้ 1 เดือน ผมคิดว่าการเป็นนักเขียนที่ดี เราต้องมีอะไรจะเล่าก่อน ต้องไปใช้ชีวิต ให้เรามีมุมมอง
ช่วง 7 ปีที่ฝึกเขียนยากมาก เพราะเราพยายามไปเลียนแบบคนอื่น ล้อคำ ล้อสไตล์เขาบ้าง แต่พอกลับมาจากแอฟริกาใต้ ผมเขียนในสิ่งที่เป็นตัวเอง ใช้ภาษาตัวเอง ลีลาตัวเอง แล้วเราก็เขียนได้ง่ายขึ้น เรารู้สึกเหมือนนั่งเล่าให้ใครฟังสักคน จนได้หนังสือ แอฟริกาใต้โต๊ะ ถัดมาอีก 4 ปี ก็เป็นเล่มนี้ (อ่านนอกเวลา) ซึ่งยังเขียนสไตล์สนุกๆ แบบผม
แต่ในความสนุกมีปรัชญาการใช้ชีวิตแทรกอยู่ตามบทต่างๆ เหมือนสาระบวกความสนุก เหมือนเด็กคนหนึ่งตกผลึกมาแล้วอยากนำมาเล่า แต่ผมไม่ได้บอกว่าดีที่สุดนะ รู้สึกว่าเราน่าจะเล่าได้จุดหนึ่งแล้วนะ สิ่งที่เราผ่านมามันน่าจะมีประโยชน์”
ท้ายสุดวิษณุก็หวังกับหนังสือเล่มนี้มากๆ “เคยคุยกับบรรณาธิการว่า ผมอยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่นักเรียนและนักศึกษาไทยควรอ่าน ผมอาจคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ผมอยากเป็นตัวจุดประกายให้เขาได้มีความคิดว่า เราลืมอะไรไปน่ะระหว่างเรียน ผมไม่ได้เขียนแบบฮาวทู ว่าต้องทำยังไง แต่เขียนแบบเล่าประสบการณ์ เลือกเอาว่าชอบตรงไหน”


