posttoday

จรูญพร ปรปักษ์ประลัย ค้นความหมายระหว่างเส้นบรรทัด

25 กุมภาพันธ์ 2553

ในวงวรรณกรรมจะขับเคลื่อนไปไม่ได้หากไม่มี นักเขียน นักอ่าน และนักวิจารณ์ ซึ่งเป็นเสมือนตัวเชื่อมของผู้สื่อสารกับผู้รับสาร ทว่ายังมีหน้าที่อันเฉียบคมอยู่อีกมาก ซึ่งสามารถส่งแรงกระเพื่อมต่อวงวรรณกรรม และสื่อสารมุมกลับไปถึงนักเขียนได้

ในวงวรรณกรรมจะขับเคลื่อนไปไม่ได้หากไม่มี นักเขียน นักอ่าน และนักวิจารณ์ ซึ่งเป็นเสมือนตัวเชื่อมของผู้สื่อสารกับผู้รับสาร ทว่ายังมีหน้าที่อันเฉียบคมอยู่อีกมาก ซึ่งสามารถส่งแรงกระเพื่อมต่อวงวรรณกรรม และสื่อสารมุมกลับไปถึงนักเขียนได้

มัลลิกา นามสง่า [email protected]

จรูญพร ปรปักษ์ประลัย ค้นความหมายระหว่างเส้นบรรทัด จรูญพร ปรปักษ์ประลัย

คงเป็นเพราะงานวรรณกรรมเป็นงานศิลปะ เราจึงไม่อาจวัดค่ามันด้วยวิธีชั่งตวงวัด ซึ่งให้ผลที่ชัดเจนเหมือนวิทยาศาสตร์ได้ เราเพียงแต่ใช้ความรู้สึก และอ่านอารมณ์ของเราในขณะเสพงานวรรณกรรม  นั่นเป็นความจริงในใจของ "จรูญพร ปรปักษ์ประลัย" นักวิจารณ์วรรณกรรม ดีกรีรางวัลกองทุนหม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ 2 สมัย ที่เขียนไว้ในบทวิจารณ์ชื่อ "แผ่นดินอื่น การเดินทางของพระเจ้าองค์ใหม่" รวมเล่มอยู่ในหนังสือชื่อ "ระหว่างเส้นบรรทัด" รวมบทความและบทวิจารณ์คัดสรรในรอบ 15 ปีของเขา

จรูญพรเริ่มต้นกับการวิจารณ์ วรรณกรรมมาตั้งแต่ยังเรียนปีสุดท้ายระดับปริญญาตรี สาขาภาพยนตร์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้ว่าสาขาที่เรียนมาจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับแวดวง ทว่าการเป็นคนรักการอ่านและอ่านงานหลากหลายแนว ทำให้เขามีภูมิความรู้มากพอที่จะประกอบอาชีพนี้ได้ด้วยความรักจริงๆ มาจนถึง 15 ปี ควบคู่กับการทำงานประจำตรงกับสายที่เรียนมาในตำแหน่งครีเอทีฟและก๊อบปี้ ไรเตอร์ บริษัท กันตนา แอนิเมชั่น

ในวงวรรณกรรมจะขับเคลื่อนไปไม่ได้หากไม่มี นักเขียน นักอ่าน และนักวิจารณ์ ซึ่งเป็นเสมือนตัวเชื่อมของผู้สื่อสารกับผู้รับสาร ทว่ายังมีหน้าที่อันเฉียบคมอยู่อีกมาก ซึ่งสามารถส่งแรงกระเพื่อมต่อวงวรรณกรรม และสื่อสารมุมกลับไปถึงนักเขียนได้

เวลาที่เราจับงานเขียนของผู้ใหญ่จะไม่ค่อยเกร็งเพราะรู้สึกว่าภูมิต้านทานเขาเยอะ คือ เราไม่ได้คิดที่ตัวเราเอง เราจะคิดที่ตัวคนเขียนมากกว่า ว่าถ้าเราเขียนวิจารณ์แล้วแรงไม่กระทบบางอย่างของเขา หรือมันรู้สึกสะเทือนอารมณ์เขา แล้วทำให้รู้สึกเกร็งและเขียนต่อไม่ได้ ถ้าเป็นนักเขียนผู้ใหญ่หน่อยเราจะรู้สึกว่าเขาผ่านความรู้สึกนี้มาแล้ว เพราะการวิจารณ์จะเป็นการทำให้เขาเห็นบางมุมที่เขาไม่เคยได้เห็น ข้อที่มันเป็นช่องโหว่หรืออะไรบาง อย่างที่ทำให้งานเขียนของเขาชิ้นต่อไปดีขึ้น แต่ถ้าเป็นนักเขียนเด็กๆ หน่อยเราจะค่อนข้างเขียนด้วยความระมัดระวังหน่อย เพราะเราจะรู้สึกว่าภูมิต้านทานเขาค่อนข้างต่ำ จะเป็นแบบนี้มากกว่า จะค่อนข้างกลับกัน คือถ้านักเขียนยิ่งเด็กยิ่งใหม่เราจะเขียนด้วยท่าทีนุ่มนวล

คือเราห่วงไง เราจะไม่เขียนด้วยความเมามันส่วนตัว แต่เราจะเขียนเพื่อให้งานวรรณกรรมชิ้นต่อไปดีขึ้น ก็มองจุดนั้นและมองถึงความรู้สึก เพราะเราเข้าใจความรู้สึกของคนเขียนรุ่นใหม่ว่ามีความมั่นใจ เพราะเขาเขียนงานแต่ละชิ้นเขาจะรู้สึกดีกับงานนั้นมาก เพราะถ้าเมื่อเราติงานนั้นไปมันจะกระทบแรง"
นักวิจารณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียน (แต่ถ้าเป็นได้ก็ดี) แต่อย่างไรก็ตามบทวิจารณ์นอกจากการค้นหาความหมายระหว่างเส้นบรรทัดของผู้เขียน ของเรื่องนั้นๆ แล้ว กลวิธีการนำเสนอ การใช้ถ้อยคำภาษา ก็เปรียบเหมือนงานเขียนดีๆ ชิ้นหนึ่งนี่เอง

"ผมว่างานวิจารณ์ที่เห็นมีอยู่ 2 แบบ คือแบบที่เป็นนักวิชาการจริงๆ จังๆ ทำและตีพิมพ์เป็นบทเรียน และอีกแบบบทวิจารณ์ที่ลงตามสื่อ ส่วนของผมมันจะกลางๆ คือไม่อยากให้มันเป็นงานที่ออกสื่อแล้วเป็นงานที่มันเบาๆ เกินไป แต่ก็ไม่อยากให้มันหนักจนเป็นงานวิจารณ์ที่ไม่มีใครอยากอ่าน ผมอยากเขียนให้มีเนื้อหาสาระและก็พยายามใช้ภาษาง่ายๆ พยายามหลบเลี่ยงอะไรที่มันเป็นวิชาการมากเกินไป อยากเขียนให้เพื่อนอ่านหรือเขียนให้คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรอ่าน โดยปกติทำงานผมจะคิดว่าคนอ่านเขาไม่ได้รู้อะไรมาก่อนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามเขียนให้ง่ายและชัดเจน"

ก่อนที่จะวิจารณ์อะไรก็ตามเราต้องรู้ดีในเรื่องนั้นๆ ซึ่งตรงนี้เป็นหัวใจหนึ่งของการทำงาน ไม่ว่าจะอาชีพใดก็ตาม   "จะเป็นนักวิจารณ์ การอ่านหนังสือจำเป็นมาก และควรอ่านให้มีความหลากหลาย จริงๆ แล้วเวลาที่เราพูดถึงหนังสือเล่มหนึ่งมันไม่ได้จบที่หนังสือเล่มนั้นนะครับ สมมติเราพูดถึงหนังสือเล่มหนึ่งของใครก็ตาม มันจะมีบริบทของหนังสือเล่มนั้นเยอะแยะไปหมด เราก็ต้องอ่านบริบทของหนังสือเล่มนั้นให้หมด เช่น ถ้าเป็นหนังสือที่ย้อนไปเมื่อ 40-50 ปีก่อน เราก็จะต้องเข้าใจสังคมในเวลานั้นอยู่ประมาณหนึ่ง ว่าอะไรในเวลานั้นที่เป็นตัวที่ทำให้เกิดเรื่องราวขึ้น"

จรูญพร ปรปักษ์ประลัย ค้นความหมายระหว่างเส้นบรรทัด

นอกจากอ่านหนังสือจำนวนมากและหลากหลายแนวแล้ว การเข้าใจชีวิตของนักเขียนก็เป็นส่วนสำคัญ  "การตามงานของนักเขียนทุกเล่มเป็นการที่ทำให้เรารู้จักนักเขียนมากขึ้น เหมือนกับว่าเวลาที่เราคบหาเพื่อนสักคนหนึ่ง ถ้าเราเคยคุยกันเจอกันบ้างจะทำให้เรารู้จักว่าเพื่อนเรามีนิสัยมีทัศนคติอย่างไร มีท่าทีเป็นยังไง เวลาที่เราเจอครั้งต่อไปเราก็จะคุยกันสนุกมากขึ้น นี่ก็คือข้อได้เปรียบของคนที่ทำงานมานานๆ อ่านหนังสือมาเยอะก็จะรู้จักนักเขียนกลวิธีการสร้างงานของเขา ท่าที น้ำเสียงของเขา เวลาเขียนทำให้เรารู้ถึงพัฒนาการของเขาว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นหรือพลังเขาลดลง แต่ความนุ่มลึกมากขึ้นมันจะทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบ"

ในบริบททั่วๆ ไปของการวิจารณ์ อาทิ แก่นเรื่อง ตัวละคร ฉาก ฯลฯ ที่นักวิจารณ์พินิจออกมาแล้ว ในงานเขียนของจรูญพรผู้เสพงานของเขาจะได้สัมผัสความนัยที่ซ่อนอยู่ระหว่างเส้นบรรทัดของผู้เขียนมากกว่านั้น "เราต้องดูหลายๆ อย่าง คือปกติจะดูรวมๆ ก่อนว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ใครเป็นตัวละครหลักของเรื่อง ท่าทีของผู้เขียนเป็นยังไง แล้วค่อยมามองสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดของหนังสือเล่มนั้น

โดยปกติแล้วผมจะเขียนถึงสิ่งที่ไม่ได้ตรงไปตรงมานัก คือสมมติถ้าเราอ่านทั้งเรื่องก็จะได้เนื้อเรื่องประมาณ 1 หน้า แล้วก็นำไปเขียนว่าหนังสือเล่มนี้พูดถึงอะไรบ้าง มีตัวละครชื่อนี้ ว่าเป็นหนังสือที่ดีน่าอ่าน ซึ่งเรารู้สึกว่าขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนพื้นฐานงานวิจารณ์ น่าจะให้อะไรคนมากกว่าที่จะบอกว่าหนังสือพูดถึงอะไร เช่น ประเด็นที่นักเขียนเขาไม่ต้องการจะบอกแต่เรากลับไปเห็นประเด็นนั้นซึ่งมันซ่อนอยู่ เช่นในหนังสือเล่มนี้ผมเขียนถึงงานของ ลาว คำหอม ในเรื่องไพร่ฟ้า ผมก็ไปมองตัวละครที่ไม่ได้เป็นตัวละครหลักและไม่เคยถูกพูดถึงในงานวิจารณ์มาก่อนเลย แต่ตัวละครนี้จะเป็นตัวเล่าเรื่อง นี่แหละมันคือบทบาทของชนชั้นกลาง ซึ่งคนเขียนไม่ได้นึกถึงแต่ก็เขียนมาจากข้างในของเขา"

จรูญพรพูดถึงบทบาทหน้าที่ของเขาว่า "นักวิจารณ์เป็นคนที่มองในหลายๆ ด้านของหนังสือเล่มนั้น คือทุกคนแทบจะไม่ใช่นักวิจารณ์ แต่ทุกคนเหมือนนักเสพหนังสือที่มีมุมมองของตัวเอง ซึ่งมุมมองนั้นอาจจะไม่เหมือนกันเลย เช่น การที่พูดถึงวงการแพทย์ บางคนอาจจะมองว่านี่เป็นจริยธรรมของแพทย์ บางคนอาจจะมองว่าแพทย์ทำแบบนี้ไม่ถูกเลย จุดที่เห็นชัดเลยก็จะเป็นวรรณกรรมประวัติศาสตร์ซึ่งนักประวัติศาสตร์กับนักวรรณกรรมก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกัน คืออยู่ที่มุมมอง คนที่เป็นนักวิจารณ์ข้อสำคัญคือต้องมองอย่างละเอียดและมองด้านที่มันถูกซ่อนอยู่ด้วย ไม่ใช่มองด้านที่สื่อออกมา

เวลาผมเขียนผมจะไม่ได้นึกถึงว่านักเขียนคิดหรือต้องการสื่ออะไร คือจะมองจากตัวเองมากกว่าว่าเราอ่านแล้วได้อะไร พอเราดูว่าเราได้อะไรเราก็อยากให้คนอื่นได้กับเราบ้างและก็เห็นในสิ่งที่มันซ่อนอยู่ ซึ่งบ้างทีเขาอ่านแล้วอาจจะมองไม่เห็น บางทีเราไปอ่านงานของคนอื่นก็จะแสดงให้เห็นมุมหนึ่งที่เราไม่เห็นเหมือนกัน งานวิจารณ์ไม่มีถูกไม่มีผิดแต่ต้องมีคำอธิบายที่มีเหตุผลในมุมมองของเรา คือเราไม่ได้พูดแบบโคมลอยแต่เราจะพูดแบบมีการอ้างอิง เราก็จะมีการดึงประโยคบางประโยคในชิ้นงานออกมา"

ระหว่างเส้นบรรทัดที่จรูญพรค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในงานเขียนเรื่องต่างๆ ของนักเขียนมากชื่อ ในมุมกลับระหว่างเส้นบรรทัดที่จรูญพรพินิจวิเคราะห์ออกมาเป็นบทวิจารณ์ ก็ส่งความหมายไปถึงนักอ่านและนักเขียนได้เช่นกัน ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ในมุมความคิดของ จรูญพร ปรปักษ์ประลัย

 

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’