posttoday

ไตรลักษณ์ในเบญจขันธ์(2) หลวงปู่ลี จิตธัมโม

11 ธันวาคม 2554

เสาต้นหนึ่งเมื่อปลวกกินเขาก็ไม่ได้บ่น อะไรพังลงมาเขาก็ไม่ได้บ่น

เสาต้นหนึ่งเมื่อปลวกกินเขาก็ไม่ได้บ่น อะไรพังลงมาเขาก็ไม่ได้บ่น

โดย..ภัทระ คำพิทักษ์ 

ไม่มีตัวรับผิดชอบก็คือ จิตไม่มี แต่มันพังก็พังไป แต่คนที่สร้างก็จะไปยึดถือเอาตรงนั้นว่าบ้านหลังนี้เป็นของเรา ไฟไหม้ก็เป็นทุกข์ ลมพัดพังลงไปก็เป็นทุกข์ ปลวกกิน หรือชำรุดไปตามสภาพกาลเวลา เราเป็นเจ้าของก็เป็นทุกข์เนี่ย

ก็เป็นทุกข์เพราะอะไร

ก็เพราะเราไปยึดถืออำนาจในกิเลส ก็เกิดเป็นทุกข์ เพราะไม่เชื่อตัวอนิจจัง ไม่มีอะไรแน่นอน พระพุทธเจ้าว่ามันเป็นอนิจจัง สังขาร ส่วนที่สังขารที่สร้างมาเรียก วิปากะ คือ วิบากกรรม เช่นพวกเรานี่แหละเรียกว่าสร้างมาด้วยวิบาก วิบากส่วนกุศล คือ เรามีศีล มีธรรม มีศีล 5 ประจำตัวก็เกิดมาตามอำนาจวิบากบุญกุศลเหล่านั้น ก็มาเกิดเป็นคน แต่ที่เกิดมาแล้วเรียกว่าชราเป็นตัวนำไป เกิดมา ตัวชราที่นำมา ติดตามมาตั้งแต่เกิด เกิดมานาทีหนึ่งก็เกิดมา ไล่มาจนนาทีที่สอง หรือวินาทีที่สองจนเป็นชั่วโมง รวมๆ หลายชั่วโมงก็เป็นวันเป็นเดือนไป ไล่ติดตามมาอยู่อย่างนี้

นอกจากตัวชรานำไปแล้ว ตัวเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไล่ๆ มาอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเรามาเป็นอยู่เดี๋ยวนี้อย่างเดียว ความเป็นจริงก็ไล่มาอย่างนี้ บางทีก็เข้าโรงพยาบาล บางทีก็ให้เขาพยาบาลเสียทั้งเงินทั้งทองทั้งเจ็บทั้งปวด

นี่เรียกว่าตัวนี้คือตัวการจัด การทำลาย

เหมือนกับหมาไล่เนื้อ หมาไล่เนื้อเมื่อทันเขากัดไม่เลือกที่ ทีนี้ไอ้ชราตัวนำไปนี่ก็เรียกว่าก็นำไปเรื่อยๆ แต่ว่าส่วนที่เป็นวิบาก คือเราทำกรรมอย่างใดไว้นั่นแหละ เป็นบุญก็ดี เป็นบาปก็ดี บาปกรรมนี่แหละคือตัวตามเจ็บตามไข้ตามไม่สบาย เพราะว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเหล่านั้น ถ้าเราไม่เข้าใจก็คิดว่ามียาก็ไปหาหมอ อันที่จริงแล้วถ้าโรคมันเกิดโดยเฉพาะฤดูกาล เช่น เวลาหนาวก็เป็นหวัด เวลาร้อนก็เป็นหวัด ฝนตกแดดออกก็กระทบร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไป นั่นก็เรียกว่าเกิดขึ้นโดยธรรมชาติโดยอุตุ แต่อีกอย่างหนึ่งนั้น โดนหรือไม่โดน มันก็เกิดขึ้น เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้โรคหนักๆ โรคแก้ไม่ได้ เหล่านี้ก็มี ฉะนั้นโรคเหล่านี้ถ้าเป็นส่วนของโรคเฉยๆ ก็มียาอยู่ทุกโรค แต่ว่าใช่ยานั้นจะไปท้าทายกับวิบากกรรมไปแก้ หรือว่ากรรมไปแก้ไม่ได้ รักษามันไม่หายจะทำไง รักษาไม่หายมันก็ตาย มันมีอยู่อย่างนี้ไม่มีปลอดภัย

ไตรลักษณ์ในเบญจขันธ์(2) หลวงปู่ลี จิตธัมโม

 

นี่เรียกว่าสังขารที่มีใจครองเนี่ย ก็เห็นได้ ถ้ายังเห็นไม่ได้ ให้ดู ดูที่ว่าผมเป็นยังไง ฟันที่เคี้ยวอาหารอยู่เป็นยังไง แล้วเนื้อหนังที่เปล่งปลั่ง มันเป็นยังไง เรี่ยวแรงที่เคยแข็งแรงเคยทำงานได้เต็มที่มันหายไปไหน เหล่านี้มันก็บอกอยู่ในตัวว่า ตัวชรานำไป ตัวชราไล่ไป ตัวความเจ็บไข้ได้ป่วยก็คอยทำลาย แต่เราไม่มีปัญญาจะมองเห็น ก็เลยว่าเราทุกข์ เราลำบากเนี่ย...ความไม่เข้าใจอย่างนี้ เราจึงไม่เห็นหน้าตาผู้ทำลายเรา

เมื่อไม่เป็น เราก็ประมาท

คือประมาทว่า ความตายนี้อยู่ไกล ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็อยู่ไกล เหมือนเด็กๆ มันเกิดมาใหม่ๆ มันก็ยังไม่ปรากฏเพราะตัวกำลังเรี่ยวแรงนั้นไม่ให้มีโอกาสที่จะต่อสู้กับสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อมันอ่อนลงเมื่อใดแล้วก็ปรากฏ แต่ถึงกระนั้นนี่เรามองออกไป เราจึงไม่เห็นข้าศึกกำลังทำลายเราอยู่ กำลังจะต้อนไล่ เราไปหาที่ตะแลงแกงไปตายเนี่ยแหละมันเพราะเราไม่ได้มองหาจุดที่เป็นจริง เวลาเจ็บก็ไปหาหมอ ถ้าเป็นโรคก็ไปหาหมอก็หาย จะไม่ได้ประมาทหมอ แต่หากว่ามันเป็นเพราะธรรมชาติมัน มันเป็นเพราะกรรมที่ทำมาแล้ว อันนั้นมันแก้ไขไม่ได้ ต้องปล่อยให้เขาไป

ปล่อยยังไง

ปล่อยเสียว่า อดทนเท่านั้น อดทน ถ้าไม่ถึงคราวก็ไม่ตาย มันก็หายไปเอง และสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันก็เกิดขึ้นมาได้ ในลักษณะว่า ความโกรธก็ย่อมทำความชั่วได้ ความโลภ คือ ความอยากนั้นมันก็เอาไม่ถูกที่ไม่ถูกทาง มันก็เป็นบาปอยู่แล้ว เพราะมันปักหลักปักฐานอยู่ที่จิตใจของทุกคน มันก็อย่างนี้ แล้วเมื่อคนมีอยู่ โทสมูล ความโกรธก็ทำลาย โลภมูล ความโลภนี้ก็เป็นเหตุให้ทำลาย เหมือนคนโลภอยากได้ที่ได้สมบัติของคนอื่น มันก็อาศัยความโลภนั่นแหละ มันก็เกิดเป็นเหตุให้ทำบาปทำกรรม และเมื่อบาปกรรมมันติดตามมาให้ผล เราก็นึกไม่ได้ว่าทำแต่เมื่อไรกาลใด (ได้เวลา) ก็ปฏิเสธว่าข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้อย่างโน้น ข้าไม่ได้อย่างนี้

นี่คน ชอบพูดกันอยู่อย่างนี้

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าว่า ถ้าจิตใจของเราอาศัยตัวกิเลสตัณหาอันนี้ปิดบังจิตใจอยู่ หรือสะสมอยู่ในจิตใจอยู่แล้วหาความปลอดภัยไม่ได้ เพราะจิตใจยังฆ่าตัวเหล่านี้ลงไม่ได้ โกรธมันมีอำนาจใหญ่ ใจเราก็ไม่มีอะไรขึ้นมาต่อสู้เพราะเราเป็นทาสของเขาอยู่ เรียกว่าตัณหาทาโส เพราะตัณหาเป็นผู้บงการ กิเลสเป็นผู้บงการสั่งการ ฉะนั้นล่ะการที่เรามาทำคุณงามความดีรักษาศีล นี่ก็เอาศีลนี่ล่ะเป็นตัวปกป้อง คือจะทำไป ก็นึกถึงศีล เมื่อมีศีลเราก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าหากว่าเมื่อจิตใจป่วนปั่นขึ้นมา มีวุ่นวายบ้าง มีสบายบ้างเนี่ย มันก็เป็นไปตามอาการของอารมณ์ มันก็แกว่งไปแกว่งมาอยู่ อยู่อย่างนั้น

ฉะนั้นว่า การที่เราเข้าใจว่าเกิดมาแล้วเป็นสุข เกิดมาแล้วให้สนุกสนาน เหล่านี้มันเป็นความอิ่มได้เฉยๆ คือของกลบไว้นั่นเอง เราไม่เปิดให้ได้รู้ได้เห็นสิ่งที่ปิดนั้น ก็เลยว่าความสุข

อันที่จริงแล้วล้วนแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น

อันนี้เรียกว่าสังขารประเภทใดก็ตาม มีใจครอง ไม่มีใจครอง ต้องตกอยู่ในอนิจจังไม่เที่ยงทั้งนั้นมันไม่เที่ยง วิญฺญาณํ อนิจฺจํ วิญญาณคือจิตใจนี้มันก็ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงเพราะตัวบังคับคือกิเลสนั่นเอง มันไม่เที่ยงมันก็ไม่เที่ยง

มันไม่เที่ยงเพราะตัวบังคับ คือกิเลสนั่นเอง

มันไม่เที่ยงวันนี้นาทีนี้...คิดดี นาทีหน้าวันหน้า...คิดร้าย มันก็อยู่อย่างนี้ มันไม่ได้ไปไหน มันอยู่ในวัฏฏวน วนไปตามอำนาจความคิดตามอำนาจแห่งกิเลส มันก็สั่ง เพราะฉะนั้น กิเลสนี้จึงครอบงำสัตว์ทั้งหลายไว้ในโลก ทั้งที่เป็นมนุษย์ทั้งที่เป็นเดรัจฉาน ก็มีกามเป็นตัวกำหนดเรียกว่ากามภพ อยู่ในภพของกามทั้งนั้น อยู่ในห้วงของกามทั้งนั้น

ฉะนั้นมันจึงไม่มีกำหนดว่าเราจะไปจบลงตรงไหนในความเกิดในชาติในภพนี้ ไม่มี

ฉะนั้นการที่ท่านกำหนดเพื่อเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติ พระองค์ค้นหลักการอันนี้วิทยาการอันนี้ได้ ก็เรียกว่า รูปํ อนิจฺจํ ว่าไม่เที่ยง สิ่งที่ว่าไม่เที่ยงมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ สิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นมันเป็นไปด้วยความทุกข์ เพราะมันแก่เราก็เป็นทุกข์ มันเจ็บเราก็เป็นทุกข์

ตัวทุกข์นี่มันเพราะอะไรมันจึงเป็นทุกข์ มันก็เพราะตัวอุปาทาน

ตัวอุปาทานเนี่ยว่า ทุกอย่างที่มีอยู่ทั้งหมดนี่แหละ ผมก็ของเรา ขนก็ของเรา ฟันก็ของเรา ตาก็ของเรา หูก็ของเรา ลงสุดท้ายเมื่อมันเป็นไปตามลักษณะแห่งความจริงว่ามันไม่เที่ยง เราก็ไม่เห็นความไม่เที่ยง เพราะไม่มีปัญหาที่จะพิจารณาเลยไม่เห็น ความไม่เที่ยงแม้แต่เห็นคนแก่ตำตา เดินหลังขดหลังงอหัวไปทางตูดไปทาง เดินไปเหมือนคนไม่มีเรี่ยวมีแรง เราก็ไม่ได้น้อมว่าตัวเราก็จะต้องเป็นอย่างนี้

น่าสังเวชสลดใจ

เพื่อจะหักห้ามจิตใจว่าจะเตลิดเสกสรรไปทำไม ไอ้คนแก่เห็นอยู่ตรงหน้าเนี่ย แต่ก่อนก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้วเนี่ย โอ๋ย...มันหมดหวังแล้วจะเอาอะไรกับเขา แต่ใจนั้นมันอยู่เหมือนเดิม ใจนี่มันวิ่งได้อยู่ แต่ตัวมันจะพาไปเนี่ยมันไปไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นยังไม่เห็นว่าเราเป็นอะไรอยู่ ฉะนั้นเราสวดกันไปว่า อภิณฺหํ ปจฺจเวกฺขิตพฺพํ จงพิจารณาเนืองๆ อย่างนี้ว่า รูปไม่เที่ยง คือร่างกายนั่นแหละรูป รูปมีใจ รูปไม่มีใจ ไม่เที่ยง

เมื่อมันไม่เที่ยงมันเป็นอะไร

รูปเป็นอนัตตา รูปเป็นทุกข์

เราไม่เห็นตรงนี้แหละ เราก็จะไม่เห็นว่าคนแก่นี่ทำไมจึงเดินตัวไม่ตรง เดินโซซัดโซเซ เดินไปซ้ายเลี้ยวขวาไปเนี่ยคนที่ถืออยู่ คนที่เฝ้าอยู่ คนที่นอนดู อยู่ในตัวของตัวเองนั้นก็ยังไม่รู้ มันน่าจะเกิดอีกมั้ย ก็จึงไม่มีปัญญาที่จะตัดสินถ้าเกิดมาอีกก็เป็นอย่างนี้อีก แล้วจะพอใจมั้ย ก็ยังไม่มีปัญญามองเห็น เพราะฉะนั้นจึงถือว่า จิตนี้อยู่ในระดับต่ำ ต่ำกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จึงมองไม่เห็น มองไม่เห็น

คือใจมันก็ไปตามอารมณ์ของมัน ก็มันไม่มีลักษณะว่าใจแก่ ใจไม่มีแก่น ใจมันอยู่เหมือนเดิม แต่กายเนี่ยมันจะเห็นอยู่อย่างนี้ นี่แหละคนเรานี่ถ้าไม่เห็นตัวก็น่าจะเห็นคนอื่นบ้าง มาเปรียบเทียบกัน รุ่นราวคราวเดียวกันมั่ง หรือคนที่เกิดก่อน อยู่ข้างหน้าเรา ก็น่าสงสารน่าทุเรศ แล้วเราจะบอกว่าเราจะไม่เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะมันก็เกิดมาอย่างเดียวกัน ถ้าเรามาดูอย่างนี้ มันจะเอาไปตัดตัวไหนให้เห็นจริงๆ แล้ว ก็มันจะไปเห็นว่าความโลภเหล่านั้นล่ะมันจะทำให้มาเกิดแก่เจ็บตายอยู่นี้

นั่นแหละก็เห็นตัวนั้น แล้วก็จะได้ละตัวนั้นออกไป จะไปเลือกเอาทำไม แต่สิ่งที่มีอยู่แล้วก็ไม่อยู่ในการดูแล อยู่ในการดูแล เยียวยา บ้านก็ให้นอนเสียอย่างดี ข้าวก็ให้กินอิ่มทุกวัน วันหน้าเขาจะภูมิใจว่า เออ...เขาเลี้ยงเราดี เราจะไม่แก่ให้เขาล่ะ เราจะไม่เจ็บให้เขาล่ะ ไม่มีคำนี้ อันนี้ยืนว่า ไอ้ความทุกข์มันเป็นของจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉะนั้นตัวชรามันก็นำไป... นำไปอยู่อย่างเนี่ย

เพราะฉะนั้นว่า ถ้าเราไม่เห็นตัวเราก็ควรจะเห็นคนอื่น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าเบื้องต้นยังไม่ได้เสียสละออกมา สู่การบรรพชา พอเห็นสิ่งเหล่านี้ก็น้อมเข้ามาหาตัวเอง น้อมเข้ามา ไม่ได้น้อมออกไปหรือส่งออกไป นี้เราเห็นมา ไม่ใช่ธรรมดาเลย เห็นมาตั้งแต่เกิด คนแก่เห็นมาแต่เกิด คนตายก็เห็นมาแต่เกิด แล้วคนเกิดก็เห็นมาแต่เกิด คนเจ็บไข้ได้ป่วยก็เห็นมาแต่เกิด ไปเผาศพก็เห็นมาแต่เกิด แล้วไปเผาศพคนอื่นอยู่เรื่อย แต่ศพตัวเองไม่เห็น

นี่แหละเรียกว่าเส้นผมบังภูเขา

ไอ้เส้นผมบังภูเขานี่มันเสียหายเหมือนกับว่า โทษคนอื่นนั้นเห็นได้ เล็กน้อยก็เอามาติมาเตียนกันได้ แต่โทษของตัวเองเห็นไม่ได้ ภาษาหนึ่งบอกว่าตดตัวเองเหม็นไม่เป็นไร... ตดได้ แต่ตดคนอื่นทนไม่ได้ นี่มันก็เรียกว่ามันเป็นอย่างนี้

ลักษณะของจิตใจคนเราทั่วไป เพราะมันไม่ได้เห็น มันมองไม่เห็น ทุกข์ก็เอาเพียงว่าจะเอาอะไรมาแก้ทุกข์ บอกว่าอย่าร้องไห้...มันก็ร้องไห้
 

 

ข่าวล่าสุด

เจาะรายละเอียด อย.ปลดล็อก ยา ‘ATMP’ ตามความเสี่ยง 3 ระดับ!