แคชเมียร์ดินแดนในฝัน
แคชเมียร์ คือดินแดนในฝันของผมครับ ผมหวังว่าในช่วงชีวิตนี้จะหาโอกาสไปดินแดนที่ใครๆ เล่าขานว่าเป็นสวรรค์บนดินแห่งนี้ให้จงได้
แคชเมียร์ คือดินแดนในฝันของผมครับ ผมหวังว่าในช่วงชีวิตนี้จะหาโอกาสไปดินแดนที่ใครๆ เล่าขานว่าเป็นสวรรค์บนดินแห่งนี้ให้จงได้
โดย..จำลอง บุญสอง
แคชเมียร์ คือดินแดนในฝันของผมครับ ผมหวังว่าในช่วงชีวิตนี้จะหาโอกาสไปดินแดนที่ใครๆ เล่าขานว่าเป็นสวรรค์บนดินแห่งนี้ให้จงได้ แล้วในที่สุดก็มีโอกาส เมื่อ นิสโก ทราเวล ซึ่งเป็นผู้จัดการท่องเที่ยวอินเดียที่เชี่ยวชาญบริษัทหนึ่งมาชวนไปเที่ยว ไปแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ โลเกชันสวยเหมือนสวรรค์จริงๆ แต่สถานการณ์ของที่นั่นไม่ใช่สวรรค์เลย เพราะตกอยู่ในห้วงของสงครามที่พักยก สงครามระหว่างอินเดียที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือฮินดู กับปากีสถานที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถืออิสลาม อันเป็นผลพวงอันเกิดจากการคืนดินแดนชมพูทวีปของจักรวรรดินิยมอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การคืนดินแดนแบบสร้างความแตกแยกเพื่อจะกลับมาปกครองในภายหลังอย่างที่กระทำต่อพม่านั่นเอง
ผลของสงครามพักยก ทำให้นักท่องเที่ยวต้องโหลดแบตเตอรี่ทุกก้อนลงใต้เครื่อง ยกเว้นแบตเตอรี่กล้อง การตรวจตราที่เข้มงวดถึงกับนักท่องเที่ยวหญิงบางคนต้องถูกลูบคลำร่างกาย (โดยเจ้าหน้าที่ผู้หญิง) ทีเดียว แต่คนที่อยากไปก็ไม่ยั่น ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะต้องถูกปฏิบัติเช่นนั้น ส่วนผู้ชายอาจจะโดนน้อยกว่า
และถ้าไม่ไปกับทัวร์ นักท่องเที่ยวอาจจะถูกค้นมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าเป็นทัวร์ที่ชำนาญการ หัวหน้าทัวร์จะใช้ความเก๋าของตัวผ่านด่านไปได้โดยไม่ยาก
จากหนังสือที่แจกลูกทัวร์ ศรีนคร เป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้ ผู้คนที่นี่เป็นอิสลามเกือบจะ 100% ที่นี่เคยเป็นวังของกษัตริย์โมกุลผู้ครองอินเดียหลายพระองค์ รวมทั้งกษัตริย์ชาร์จาฮาน ผู้สร้างทัชมาฮาลอนุสรณ์แห่งความรักอมตะด้วย ที่พระองค์มาที่นี่ก็เพราะหลงใหลในความงามของแคชเมียร์นั่นเอง
เราพักที่บ้านเรือ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากการสร้างที่อยู่ของคนอังกฤษเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมานั่นเอง (อังกฤษเข้ามาครอบครองอินเดียก็จริง แต่สร้างบ้านบนดินของอินเดียไม่ได้ ก็เลยมาสร้างบ้านในน้ำแทน) บ้านเรือเป็นที่ที่ทุกคนที่ไปเที่ยวแคชเมียร์ต้องไปพัก เพราะเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ เช้าๆ จะมีคนพายเรือมาขายดอกไม้และของฝาก ราคาแพงกว่าในตลาดครับ แต่คนไทยฉลาด รู้ดีว่าขืนซื้อวันแรกก็เสียท่าแขกแน่ จึงรอซื้อวันหลังๆ คนขายของพวกนี้ตื๊อเก่งครับ สาวมากสาวน้อยหลงกลซื้อกันใหญ่ แต่พอไปดูของในตลาดลมแทบจับ เพราะถูกกว่ากันเยอะ
ชาแคชเมียร์ในเรืออาจจะไม่อร่อยหรือหอมเท่าที่ร้าน แต่แท้กว่า แถมพนักงานอัธยาศัยสุดยอด เรือที่เราไปพักเป็นเรือบ้านที่เจ้าของเป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าแคชเมียร์ด้วย บิล คลินตัน และเมียก็เคยไปซื้อของของเขา
ผ้าแคชเมียร์ดีๆ แท้ๆ ราคาแพงมาก ผืนหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสน คณะเรามีไม่กี่คนที่ซื้อ ส่วนสื่อมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกผมก็ทำหน้าแห้งๆ เวลาเขามาเสนอขาย
สวนดอกไม้ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โมกุล ริมทะเลสาบดาล ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจกับต้นชีนาที่ใบเหมือนเมเปิล มีอายุยืนยาวมากว่า 400 ปี ต้องหลายคนโอบจริงๆ ต้นไม้ใหญ่ๆ แบบนี้ผมเคยเจอที่อเมริกาคือต้น Red Wood ใหญ่กว่าต้นชีนามาก อายุกว่า 2,500 ปี
ระหว่างเดินทางไปกุลมาร์ค ซึ่งอยู่ห่างจากศรีนครประมาณ 56 กม. ถือกันว่ากุลมาร์คเป็นทุ่งหญ้าของดอกไม้ ผมไปทีแรกไม่เห็นดอกไม้ เห็นแต่ม้าสำหรับให้นักท่องเที่ยวขี่
กุลมาร์คเป็นสนามกอล์ฟที่สูงที่สุดในโลก คือสูงประมาณ 2,730 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่บนเทือกเขาการาบินกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ฤดูหนาวซึ่งอยู่ในช่วงเดือน ธ.ค.เม.ย. จะมีหิมะตกหนัก เหมาะแก่การเล่นสกี นักถ่ายภาพยนตร์นิยมใช้โลเกชันกุลมาร์คถ่ายหนัง ส่วนหน้าฝนอย่างปัจจุบันพวกยิปซีจะต้อนแพะและแกะไปเลี้ยง
เคเบิลคาร์พาเราขึ้นไปบนยอดเขาสูง อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบสูงโคราโครัม เพื่อถ่ายภาพสวยๆ ของวิวทิวทัศน์
อีกวันเราก็ไปที่พาฮาลแกม ซึ่งเป็นจุดบรรจบระหว่างแม่น้ำลิดเดอร์และทะเลสาบเซซนาก เดิมที่นั่นเป็นบ้านของคนเลี้ยงแกะ สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 2,130 เมตร ระหว่างทางผ่านทุ่งที่เขาปลูกหญ้าฝรั่น เราก็เลยจอดรถถ่ายรูปทำเรื่องเสียเลย
เราขี่ม้ากันที่พาฮาลแกม และทดลองสูบยาแบบไม่ต้องจุดไฟเพื่อถ่ายรูปสนุกๆ ก่อนเดินทางกลับบ้านเรือ
โซนามาร์ค เป็นที่ที่ผมชอบที่สุดของทริป โซนามาร์คห่างจากศรีนคร 84 กม. ระหว่างทางนอกจากจะมีของขาย (ราคาแพงกว่าท้องตลาด) แล้ว เรายังได้ดูธารน้ำที่ไหลลงมาจากการละลายของหิมะด้วย เส้นทางนี้คือเส้นทางที่จะไปสู่ลาดัค หรือเมืองที่ยากแก่การค้นหา ลาดัคก็เป็นอีกแห่งหนึ่งในความฝันของผมครับ
ระหว่างทางพวกเราซุกซนแอบหยุดรถและไปถ่ายรูปสวยๆ ตามทาง แถมยังซื้อน้ำผึ้งกันตามทางอีกด้วย
บางช่วงบางเวลาพวกเราก็ได้มีโอกาสไปเยือนสวนแอปเปิลด้วย แอปเปิลของที่นี่ดกและอร่อยมาก สาวๆ ชาวบ้านดูสวยและเป็นธรรมชาติมาก หนุ่มๆ ก็หล่อ พวกเราหลายคนซื้อแอปเปิลกลับมาแบบไม่เกรงใจสายการบิน ท้ายสุดก็ต้องแอบยัดโน่นยัดนี่กันแทบตาย เรื่องซื้อแอปเปิลหรือของหนักๆ นี่ไม่ค่อยจะดีต่อกระเป๋าเงินครับ ของพวกนี้กินให้จุใจดีกว่าซื้อกลับมาบ้าน เพราะมันเป็นภาระมาก
ผมไม่สามารถตัดใจควักเงินซื้อสมุนไพรชื่อดังอย่าง ”หญ้าฝรั่น” (Saffron) ได้ เพราะราคาของมันแพงแสนแพงพอๆ กับทองคำ แต่การไปแคชเมียร์รอบที่ 2 ในช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมากับคณะทัวร์ของนิสโก ทราเวล ซึ่งจับมือกับสายการบินโลว์คอสต์อย่างอินดีโก ปรากฏว่าลูกทัวร์คณะนี้หลายคนซื้อดอกหญ้ากลับมาฝากญาติผู้ใหญ่และบุคคลที่เคารพนับถือกันอย่างมากมายแบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน
ทำไมหญ้าฝรั่นถึงแพง...
เรื่องนี้มีหลายปัจจัย และถ้ารู้ที่มาที่ไปของมันแล้ว ท่านอาจจะบอกว่าไม่แพงเลยก็ได้
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อน หญ้าฝรั่นนั้นเป็นพืชสมุนไพร บ้างก็จัดอยู่ในประเภทเครื่องเทศถึงขั้นที่ยกย่องให้เป็นจักรพรรดิเครื่องเทศเลยทีเดียว เป็นไม้ดอกสีม่วง เพาะพันธุ์ด้วยหัว ปลูกได้ไม่กี่แห่งในโลก ที่ปลูกกันมากคือที่ สเปน ฝรั่งเศส ซิซิลี อิตาลี อิหร่าน และอินเดีย (ที่แคชเมียร์)
ว่าไปแล้ว หญ้าฝรั่นนั้นถูกนำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เห็นได้จากชาวตะวันออกและผู้คนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนิยมใช้ในการปรุงรสและแต่งสีแต่งกลิ่นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะในข้าวและอาหารจำพวกปลา ส่วนชาวอังกฤษ สแกนดิเนเวียน และผู้คนแถบทะเลบอลข่านใช้ผสมกับขนมปัง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนผสมที่สำคัญในตำรับอาหารฝรั่งเศส นอกจากนี้หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน เหล่าสงฆ์ทั้งหลายก็ใช้หญ้าฝรั่นนี่แหละเป็นสีย้อมจีวร และยังนำไปย้อมภูษาอาภรณ์ของบรรดากษัตริย์ในหลายประเทศ ส่วนที่มีราคาแพงระยับเพราะได้มาจากเกสรตัวเมียของดอกไม้ชนิดนี้ โดยใน 1 ดอก จะมีเกสรเพียง 3 เส้นเท่านั้น และต้องใช้คนเก็บอย่างเดียว ไม่สามารถใช้เครื่องจักรเครื่องยนต์หรือเครื่องทุ่นแรงอะไรได้ คิดดูว่าจะยากลำบากสักแค่ไหนกว่าจะได้หญ้าฝรั่นสัก 1 กก. ที่สำคัญ การเก็บเกสรนั้นต้องรีบเก็บในวันเดียว เพราะดอกจะโรยหมด และต้องรีบนำมาคั่วแห้งทันที
อีกสาเหตุที่ทำให้เจ้าหญ้าชนิดนี้แพงหูดับเพราะสรรพคุณของมันนั่นเอง โดยตัวเกสรที่มีสีเหลืองอมแดงรสเผ็ดขมอมหวานและหอม คนโบราณใช้ทำยาหอม ยาชูกำลัง แก้ไข้ แก้สวิงสวาย บำรุงธาตุแก้ซางเด็ก เป็นยาบำรุงโลหิต และแก้เส้นกระตุก เท่านั้นยังไม่หมด ยังมีสรรพคุณทำให้ผิวเปล่งปลั่งและอายุยืน
เห็นหรือยังว่าสรรพคุณเพียบพร้อมขนาดไหน ฉะนั้นอย่าได้สงสัยเลยว่าทำไมถึงแพง และเป็นที่ต้องการของคนมีกะตังค์ทั้งหลาย ประเภทหาเช้ากินค่ำ หรือมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้แค่หมื่นสองหมื่นต่อเดือนหมดสิทธิซื้อแน่
วันที่คณะทัวร์ของนิสโก ทราเวล จะเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง “พาฮาลแกม” ระหว่างเส้นทางจากตัวเมืองศรีนครไปยังจุดหมายนั้น ต้องผ่านพื้นที่เกษตรกรรมอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งตอนที่ไปนั้นเกษตรกรกำลังนำหัวของหญ้าฝรั่นลงปลูกในดินที่เตรียมไว้ พวกเราเลยได้แต่เห็นหัวของมัน ไม่ได้เห็นตอนที่หญ้าฝรั่นกำลังออกดอกม่วงบานสะพรั่ง แต่แม้จะไม่ได้เห็นของจริงที่ปลูก ทว่า ในร้านขายหญ้าฝรั่นจะมีรูปภาพต้นหญ้าฝรั่นและดอกติดไว้ให้ลูกค้าดู ช่างภาพก็เลยกดชัตเตอร์กันยกใหญ่
“จำรัส เซ็นนิล” ผู้ประกาศข่าวชื่อดังของกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรไทย ยังขอหัวหญ้าฝรั่นมาจากเกษตรกรแคชเมียร์ หวังว่าจะนำมาปลูกในไทย จนเพื่อนฝูงทักว่าจะปลูกขึ้นได้อย่างไร เพราะอากาศบ้านเรามันร้อน ขณะที่แคชเมียร์หนาว แต่แกบอกถ้าปลูกขึ้นจะได้รวยกับเขาบ้าง
อย่างไรก็ตาม แม้พวกเราจะไม่ได้เห็นทุ่งหญ้าฝรั่นของแคชเมียร์ แต่ตอนขากลับ “คุณมินห์มัณตา พานทอง” เจ้าของนิสโก้ ทราเวล ในฐานะหัวหน้าทัวร์ ก็สั่งรถให้จอดร้านข้างทางที่มีร้านขายหญ้าฝรั่นและผลหมากรากไม้ของที่นี่ เป็นที่ถูกอกถูกใจลูกทัวร์ยิ่งนัก เพราะรู้กันดีว่าทัวร์ไทยนั้นซื้อทุกที่ที่จอด และถ้าไม่จัดเวลาให้ช็อปปิ้ง ทัวร์นั้นจะไม่เป็นที่ประทับใจของลูกทัวร์
ร้านนี้ชื่อ NOOR MOHD.BHAT เจ้าของเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี พูดภาษาอังกฤษได้ฟังไม่ยาก ชื่อ ”Mr.ASHIK RAJ” นักข่าวไทยก็เลยขอสัมภาษณ์เรื่องหญ้าฝรั่น โดยคุณมินห์มัณตาช่วยแปลให้ แต่กว่าจะได้ฤกษ์สัมภาษณ์ก็เสียเวลาสักพัก เพราะลูกทัวร์ซื้อกันหลายราย เนื่องจากที่ร้านนี้มีสินค้าหลายอย่าง นอกเหนือจากหญ้าฝรั่น คือมีทั้งวอลนัต ลูกเกด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลผลิตของเกษตรกรที่นั่น แต่บางอย่างเขาก็นำมาจากเมืองอื่น เช่น ลูกแอปริคอตที่ปลูกอยู่ที่ลาดักส์ เลยจากศรีนาคาร์ไปอีก
หนุ่มเจ้าของร้านที่หน้าตาหล่อเหลาขาวสะอาดนำหญ้าฝรั่นที่มีสีส้มปนแดงมาให้ลองชิม นักข่าวต่างก็หยิบมาชิมกันคนเส้นสองเส้น รสชาติออกเฝื่อนๆ ขมนิดๆ ซึ่งในการขายนั้นจะมีหลายขนาดให้เลือก โดยจะบรรจุให้กระปุกเล็กๆ เริ่มต้นที่น้ำหนัก 1 กรัม ราคา 200 รูปี และ 10 กรัม 2,000 รูปี
เขาเล่าว่า นอกจากจะมีหน้าร้านไว้ขายหญ้าฝรั่นและผลผลิตทางการเกษตรหลายอย่างแล้ว ที่บ้านก็ยังปลูกหญ้าฝรั่นด้วย
“ที่บ้านผมปลูกหญ้าฝรั่น 44 เอเคอร์ (1 เอเคอร์เท่ากับ 2ไร่ครึ่ง) พื้นที่ปลูกอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ในหนึ่งฤดูกาลผลิตจะใช้เงินลงทุน5หมื่นรูปี (10รูปีเท่ากับ7บาท) ผลตอบแทนกลับมาจะได้ 1แสนรูปี การปลูกก็ง่าย แค่รดน้ำ ไม่มีแมลงอะไรมารบกวน ใช้เวลาปลูกเพียง1เดือน ก็เก็บผลผลได้ โดยใน1ดอก จะได้เกสร3ชิ้นเท่านั้น หญ้าฝรั่นที่นี่มีคุณภาพดี สรรพคุณของหญ้าฝรั่นดีต่อผิวพรรณ ความจำ การไหลเวียนของเลือด การกินหญ้าฝรั่นกินง่ายและกินได้หลายวิธี เช่น ใส่ในอาหารอะไรก็ได้ เพียงนิดเดียวก็พอ หรือจะใช้วิธีชงแบบชาก็ได้”
เขาอธิบายต่อว่า การปลูกหัวหญ้าฝรั่น10กรัม จะให้ผลผลิตจากดอกหญ้าฝรั่น3,000ดอก ส่วนราคาขายนั้น ถ้าซื้อ1กรัม ราคา200รูปี จำนวน10กรัม ขายอยู่ที่2,000รูปี
อย่างไรก็ตาม ราคาขายในแต่ละปีอาจจะแตกต่างกันบ้าง ขึ้นอยู่กับผลผลิตที่ได้ในแต่ละปี อย่างปีก่อน เขาบอกได้ดอกหญ้าฝรั่นมาไม่มาก เลยขายกรัมละ300รูปี แต่พอมาปีนี้ได้ดอกหญ้าฝรั่นมาก จึงขายได้ในราคากรัมละ200รูปี ซึ่งถ้าผลผลิตออกมาเยอะก็สามารถขายถูกลงได้ และในปีหน้าเขาจะขยายพื้นที่การปลูกให้มากกว่านี้อีก
เห็นราคาแพงอย่างนี้ แล้วคนปลูกจะได้กินไหม หนุ่มหล่อตอบทันที คนปลูกก็เก็บไว้ทานเองอยู่แล้ว
ไกด์แคชเมียร์ของเราที่ไปด้วยก็บอกเหมือนกันว่า เขาเองก็กินเหมือนกัน ซึ่งหญ้าฝรั่นสามารถนำไปใส่ลงในอาหารหรือเครื่องดื่มต่างๆ ได้ตามใจชอบ ถ้าผู้หญิงรับประทานยิ่งดี เพราะจะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ไม่แก่
ด้วยสรรพคุณที่ว่าทานแล้วไม่แก่ สมองดี ทำให้พวกสาวน้อย (อายุมาก) อย่าง”คุณพัชรี เจริญทรัพย์”ภรรยาของคุณปัญญา เจริญวงศ์ หัวหน้าข่าวเกษตรของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ควักเงินซื้อไปหลายพันรูปี สอบถามได้ความว่า ซื้อไปฝากผู้ที่เคารพนับถือ และเก็บไว้รับประทานเองด้วย แต่พอกลับมาเมืองไทยเธอบอกถ้านำไปฝากใคร โดยที่คนคนนั้นไม่เชื่อสรรพคุณและไม่รู้จัก อาจจะนำไปทิ้งไว้เฉยๆ เสียประโยชน์เปล่าๆ ดังนั้นของแพงไว้รับประทานเองก็น่าจะดีกว่า


