posttoday

แสงแห่งความเงียบงัน

18 กันยายน 2554

ขอเตือนว่าอย่าดูหนังเรื่องนี้ก่อนนอน เพราะคุณจะดูได้ไม่ถึงไหนหรือไม่ก็หงุดหงิดงุ่นง่าน

โดย...นโรจน์

ขอเตือนว่าอย่าดูหนังเรื่องนี้ก่อนนอน เพราะคุณจะดูได้ไม่ถึงไหนหรือไม่ก็หงุดหงิดงุ่นง่าน (ในอารมณ์) ถึงขั้นนอนไม่หลับกันเลยก็เป็นได้...

อืมม...ในความรู้สึกส่วนตัวตั้งแต่ดูหนังมา ผมว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่ใช้ความอดทนในการชมมากที่สุด เพราะมันทั้งนิ่งเงียบ ไร้ชีวิตชีวา และก็กดดันมากๆ

เออ...แต่กลับรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงอดทนดูได้จนจบ พร้อมกับความรู้สึกต่างกับเมื่อเปิดดูในช่วงแรกๆ ของเรื่อง

หนังเปิดฉากด้วยภาพแสงสวยงามซึ่งเป็นช่วงรอยต่อระหว่างโพล้เพล้ค่อยๆ ผ่านไปยันพลบค่ำ คนชอบภาพสวยคงชื่นชมว่านี่คืออัศจรรย์ทางด้านแสงและภาพของธรรมชาติอันงดงามน่าประทับใจยิ่ง แต่คนใจร้อนอาจถึงกับตั้งคำถามอยู่ในใจ “ทำไมบางฉากมันต้องแช่นานขนาดนี้ฟะ” (ประมาณ 6 นาที)

แสงแห่งความเงียบงัน

ครั้นแสงผ่านพ้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต...

หนังเล่าเรื่องของ โยฮัน ชาวนาวัยกลางคนที่มีภรรยาแสนดี กับลูกเล็กๆ อีก 5 ชีวิต ที่ฟังดูเหมือนจะอบอุ่น ชุ่มชื่น แต่ดูจากสีหน้าแววตาของสามีภรรยา และบรรยากาศอันแสนอึมครึมรอบด้าน ก็รับรู้ทันทีว่า ครอบครัวนี้กำลังมีปัญหาบางอย่าง

แน่ละว่ามันไม่ใช่เรื่องของฐานะ แต่มันหนักอึ้งกว่านั้น เมื่อคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแอบไปมีความสัมพันธ์ลับๆ กับเพื่อนบ้าน จนวันหนึ่งความรักไร้จรรยาบรรณนั้นก็กลับมาเล่นงานเขาอย่างเจ็บช้ำ

นี่คือผลงานสุดเก๋าของผู้กำกับชาวเม็กซิกัน "คาร์ลอส เรย์กาดัส" (ที่เคยสร้างความเสียว จนเป็นที่เกรียวกราว ไว้ใน Battle In Haeven) กลับมาคราวนี้ก็ใช่ย่อยเพราะหนังเรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามเกินคาด เมื่อครั้งเข้าชิงเทศกาลเมืองคานส์ในปีเดียวกัน และสุดท้ายก็ได้รางวัล Jury Prize กลับบ้านไปครอง

แสงแห่งความเงียบงัน

อันที่จริงหนังค่อนข้างน่าเบื่อ การเดินเรื่องก็แสนช้า เหนื่อยหน่ายไร้ชีวิตชีวา และสร้างความอึดอัดถึงขั้นกดดันให้คนชมอยู่ลึกๆ

หลายฉากในเรื่องถูกแช่นิ่งจนน่าเบื่อหน่าย โดยเฉพาะฉากที่โยฮันและภรรยา นั่งอยู่ในรถระหว่างเดินทางเข้าเมือง เป็นช่วงเวลาที่กดดันคนดูมากที่สุด

มันเป็นการขับเคี่ยวกันด้วยอิริยาบถอันนิ่งงันของตัวละคร ระหว่างภรรยาผู้ถูกกระทำย่ำยีจิตใจ หลังจากที่รับรู้ว่าสามีที่ตนรักยิ่งยังไม่ตัดสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเพื่อนตนเอง และโยฮันผู้ลงมือกระทำตามไฟปรารถนาของตัวเองมากกว่าที่จะยับยั้งชั่งใจ ที่ทำได้คือเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่าเขายังไม่สามารถตัดขาดจากอีกคนได้

แทนทีภรรยาจะตีโพยตีพายหรือด่าทอสามีให้สาแก่ใจ (อึดอัดถึงที่สุด) กลับเลือกวิธีนิ่งเงียบเหมือนไร้ชีวิต และเป็นฝ่ายที่หนีออกไประเบิดอารมณ์ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำเพียงลำพัง ขณะที่โยฮัน สามีตัวดีก็นิ่งงันและไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยคำขอโทษหรือหาทางออกใดๆ มันช่างเป็นช่วงที่กดดันที่สุดของหนัง เหมือนกับโดนถูกผูกมัดเงื่อนปมไปกับตัวละครทั้งสอง จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเราบ้าง จะหาทางออกเช่นไรดีเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ไปได้

สิ่งที่น่าชื่นชมและทำให้หนังเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น คือการเลือกใช้แสงและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่พายุฝนกำลังกระหน่ำระหว่างที่ทั้งสองอยู่ในรถ สะท้อนให้เห็นอารมณ์ส่วนลึกๆ ของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม

รวมถึงช่วงเวลาเปิดฉากและปิดฉากของหนัง ด้วยภาพแสงสวยงามอันเป็นช่วงรอยต่อระหว่างโพล้เพล้ค่อยๆ ผ่านไปยันพลบค่ำ ก็เสมือนชีวิตคนเราที่ค่อยๆ เริ่มต้น ทอแสงอ่อนสว่างไสวแล้วค่อยๆ มืดมิด

แสงจึงเป็นเหมือนตัวแทนแห่งชีวิต ที่ความสุขค่อยๆ เจิดจ้า และในไม่ช้ามันก็จะผ่านไป และอีกไม่นานมันก็จะเริ่มต้นขึ้นใหม่นั่นเอง

อีกประการด้วยการแสดงที่แสนจะแข็งทื่อ น่าเบื่อหน่าย ทั้งสีหน้า แววตา (แอบหงุดหงิดว่าผ่านการคัดเลือกมาได้ไงฟะ) เชื่อว่านี่ คือความตั้งใจของคาร์ลอส ที่อยากจะสะท้อนให้เห็นถึงผลลับของผู้ที่ปล่อยให้ไฟราคะท่วมท้นตัวตน และมันก็ได้ผลเกินคาดจริงๆ เสียด้วยสิครับ


 

 

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี