posttoday

จงมองคนด้วย ‘กระจกหกด้าน’

04 กันยายน 2554

สมัยก่อนจำได้ว่ามีสารคดียอดนิยมรายการหนึ่งชื่อ “กระจกหกด้าน”

โดย...ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

สมัยก่อนจำได้ว่ามีสารคดียอดนิยมรายการหนึ่งชื่อ “กระจกหกด้าน” สะท้อนความเป็นไปของสังคมเชิงวิเคราะห์เจาะลึก อัดแน่นด้วยคุณภาพ มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ เสียงของผู้ดำเนินรายการ แต่ช่วงหลังรายการนี้ก็ห่างหายจากหน้าจอไป จนเมื่อเร็วๆ นี้ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ เจ้าของหนังสือ “สุขได้อีก เยอะเล้ย” ได้มาบรรยายธรรมะฮาเฮที่หอประชุมพุทธคยา พอพูดถึงคำว่า “จงมองผู้อื่น ด้วยกระจกหกด้าน” ผมก็หวนนึกถึงรายการโทรทัศน์ดังกล่าวทันทีและคล้อยตามไปกับสิ่งที่อาจารย์สาธยายในวันนั้น

ความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากหน่วยเล็กๆ แต่สำคัญที่สุดอย่างครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ไปจนถึงระดับประเทศ หรือแม้กระทั่งความขัดแย้งระดับโลก สาเหตุหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามหรือเพิกเฉยคือ การเพ่งโทษกัน จะเห็นว่าคนเราส่วนใหญ่ชอบตัดสินผู้อื่นด้วยการมองเพียงเปลือกนอก เที่ยวพิพากษาคนนั้นไม่ดี คนนี้เลว คนโน้นโกง คนนั้นขี้เหนียว คนนี้น่าหมั่นไส้ สารพัดข้อหา

จงมองคนด้วย ‘กระจกหกด้าน’

เรียกว่ามองกันเพียงด้านเดียวก็ตัดสินแล้วว่าคนคนนั้นดีหรือไม่ดี เพราะหูเบาเชื่อคนง่าย ขาดการไตร่ตรองด้วยใจที่เป็นกลางอย่างนี้นี่แหละ ถึงทำให้สังคมเราทุกวันนี้มีแต่ความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งเขาแบ่งเรา ขัดแย้งกันอยู่ร่ำไป

เพราะมี “ผู้พิพากษา” เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดนี่เอง

จะดีกว่าไหมครับ ถ้าจะเชิญชวนทุกท่านให้ลาออกจากตำแหน่งผู้พิพากษาอันทรงเกียรตินี้ เลิกตัดสินคนอื่นกันเสียที เลิกเพ่งโทษกันหันมามองในด้านดีของกันและกันให้มากขึ้น หันมาเปิด “ชมรมชมกันเอง” ในครอบครัว องค์กร หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โดยไม่ต้องเก็บค่าสมาชิก หัดชอบๆ กันบ้างครับ เหมือนเฟซบุ๊กที่มีแต่ปุ่ม “ไลค์” ไม่เห็นมีปุ่ม “ดิสไลค์” ให้คลิก

ทำไมหรือครับ ก็เพราะว่าสังคมเราถ้าลองได้ชอบกันมากๆ มันก็จะมีแต่พลังบวก ใครไม่ชอบใครก็เงียบๆ ไป ไม่ต้องแสดงออกก็ได้ ยิ่งในสภาวะบ้านเมืองแบบนี้ อย่า “ดิสไลค์” กันให้มาก เวลาเราเห็นคนไม่ดีเราอาจจะมองเขามุมเดียวก็ได้ ทั้งที่จริงแล้วยังมีมุมอื่นๆ ที่เราไม่ได้มองหรือมองไม่เห็น เลยไม่เข้าใจเจตนาหรือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำที่ไม่ดีของเขาเหล่านั้น

สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี นอกจากจะชี้ทางแห่งความหลุดพ้นให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาแล้ว ท่านยังสอนให้เรารู้จักมองคนด้วย “กระจกหกด้าน” คือ มองคนให้ครบทุกด้าน ซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง ถ้าเรามองเขาแต่ด้านขวา เราก็จะไม่เห็นด้านซ้ายของเขา หรือมองแต่ด้านหน้า เราก็จะไม่เห็นด้านหลังของเขาว่าเป็นอย่างไร

เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึง ร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้น จึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ

ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำชำระกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จิตใจของมนุษย์ยุคปัจจุบันเศร้าหมอง เคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคม ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

ท่านสอนว่า เราทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้าง ศัตรูบ้าง แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต

ดังนั้น ถ้าเราทำใจเป็นพระ มองเห็นวัฏสงสารที่มันไหลไปเรื่อยก็จะเข้าใจได้ว่า อ๋อ ชีวิตมันก็เป็นของมันอย่างนี้ คนเราเกิดมาเพราะชะตาฟ้าลิขิต กรรมกำหนดมาให้เป็นคนชั่ว คนดี คนเลว ปะปนกันไปอย่างนี้ แต่ขอให้รำลึกไว้เสมอว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อล้างแค้นใคร แต่เกิดมาเพื่อเรียนให้รู้ว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง อย่าคิดมาก

แต่ในอีกมุมหนึ่งของกระจกหกด้าน ก็คือ กระจก หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง เรื่องราวบางเรื่องที่ได้ยินผ่านกระจกหูอาจจะไม่จริงก็ได้ ต้องให้เห็นด้วยตา ต้องใช้ประสาทสัมผัสให้ครบทั้งหก ก่อนจะตัดสินใครดีชั่ว

แต่ดีที่สุดคือ อย่าไปพิพากษาใครเขาเลย พิพากษาตนเองดีกว่า

เพราะฉะนั้น อย่านึกว่าตัวเองถูกเสมอ จงหัดมองคนอื่นด้วย “กระจกหกด้าน” เมื่อมองเขาครบทุกมุมแล้วจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราคิดต่อผู้อื่นนั้นอาจจะไม่ถูกเสมอไป และขอฝากคติจีนทิ้งท้ายว่า...

ความเลวร้ายของคนเราก็คือ การชอบที่จะพูดถึงแต่ความผิดพลาดของคนอื่น ความโง่เขลาของคนเราก็คือ การไม่ชอบที่จะฟังถึงความผิดพลาดของตนเอง


 

 

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?