เชื้อพร รังควร 12ปีแห่งการถวายงานสมเด็จเจ้าฟ้าฯประทับใจไม่รู้ลืม
ทันทีที่สิ้นเสียงคำถามว่า รู้สึกอย่างไรกับการสิ้นพระชนม์
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา&<2288;
ทันทีที่สิ้นเสียงคำถามว่า รู้สึกอย่างไรกับการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี หรือที่เรียกกันติดปากว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าฯ” เชื้อพร รังควร ผู้ช่วยผู้บริหารงานในสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ข้าราชบริพารคนสนิทที่ถวายงานสมเด็จเจ้าฟ้าฯ มาถึง 12 ปี และมีโอกาสถวายงานตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนโรงเรียนวชิราวุธ ถึงกับเก็บอาการเศร้าโศกต่อการจากไปของพระองค์ไว้ไม่อยู่ แม้จะไม่ถึงขั้นเสียน้ำตาลูกผู้ชาย แต่น้ำเสียงก็สั่นเครือและอธิบายถึงความรู้สึกของเชื้อพรในเวลานี้ได้อย่างชัดเจน
“บอกไม่ถูกนะ พ่อแม่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตใช่มั้ยครับ แต่ท่านเหมือนเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่เคารพ เป็นอะไรก็แล้วแต่ เหมือนคุณเป็นนกแล้วก็บินมาเกาะที่กิ่งไม้ในร่มไม้ใหญ่ทุกวันๆ รู้สึกร่มเย็น แต่แล้ววันหนึ่งใบไม้มันร่วงหมดต้นซะอย่างนั้น ก็บอกไม่ถูก
แต่เราก็รู้ว่าในวาระสุดท้ายของท่านก็ต้องถวายงานให้ดีที่สุด ก็พยายามประสานกับองค์กรที่เกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวกหรือให้ข้อมูลในการมาร่วมกันสนองพระเดชพระคุณในวาระสุดท้าย”
จากลูกหลานวชิราวุธสู่พ่อบ้านในวัง
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งจะได้รับโอกาสที่คนไทยกว่า 62 ล้านคนแทบไม่กล้าฝัน ด้วยการก้าวเข้ามาถวายงานเจ้านายฝ่ายใน แน่นอนว่าสำหรับเชื้อพรแล้ว ถือว่าโอกาสทองที่ได้มานี้ยิ่งเป็นความโชคดี และเป็นบุญเสียด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสถวายงานใกล้ชิด ได้รับการไว้วางพระทัย ซึ่งนอกจากจะมีโอกาสได้รับพระราชทานพระกรุณาแล้ว ยังเป็นเกียรติประวัติ
“พวกผู้ใหญ่จะพูดเสมอว่าล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ท่านมีบุญคุณต่อพวกเรานะตั้งตัวกันมาได้ก็ด้วยพระมหากรุณา แต่พอมาอยู่กับสมเด็จเจ้าฟ้าฯ แล้ว ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราคิดว่าต้องเข้ามาทำถวาย แต่พอได้เข้ามาสัมผัสได้ใกล้ชิดท่าน พระเมตตาจากน้ำพระทัยจากพระองค์ท่านเอง ทำให้เรารู้สึกว่าต้องทำถวายท่าน คือจะไปที่ไหนก็ไม่ได้เสียแล้ว”
ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตของเชื้อพร ในวันที่ยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายพลิกผันได้เข้ามาถวายงานใกล้ชิดสมเด็จเจ้าฟ้าฯ เขาเล่าว่า ด้วยความที่เป็นนักเรียนของโรงเรียนวชิราวุธ ซึ่งปกติทางโรงเรียนจะจัดให้นักเรียนชั้นโตๆ เข้ามาทำกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับการรับเสด็จหรือถวายงานที่วังรื่นฤดีเวลามีงานสำคัญ หรือมาเฝ้าในวันประสูติของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ซึ่งตรงกับวันที่ 24 พ.ย.ของทุกปีอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าบ่อย เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา กอปรกับบรรพบุรุษของครอบครัวก็เป็นข้าราชบริพารในรัชกาลที่ 6
“ด้วยความที่คุณปู่ (วรกิจ บรรหาร หรือชื่อเดิม พงษ์ รังควร) เป็นอดีตมหาดเล็กเก่าในสมัย รัชกาลที่ 6 ส่วนคุณย่าก็เป็นลูกของพระยาอมเรศร์สมบัติซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติในรัชกาลที่ 6 เหมือนกัน
จึงเหมือนเป็นข้าราชบริพารข้าราชสำนักเดิม พอมาเข้าเฝ้าผู้ใหญ่ในวังท่านก็ทราบว่า นามสกุลนี้คุ้นเคยกันมาก่อน
รู้จักนั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นเพราะการที่ได้เข้าเฝ้าบ่อย เพราะผมเป็นประธานสมาคมถ่ายรูป เลยมีโอกาสขอพระราชทานถ่ายพระรูปท่าน ในช่วงงานพระศพพระนางเจ้าสุวัทนา (พระชนนีของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ) พอดี เลยได้เข้าเฝ้ากันทุกวัน”
เชื้อพรย้อนความทรงจำถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ทรงคุ้นหน้าคุ้นตาเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ถึงขนาดทรงซักถามว่าชื่ออะไร จากนั้นก็ทรงจดจำ และทักทายทุกครั้ง โดยพระองค์จะรับสั่งว่า “จำเชื้อพรได้นะจ๊ะ”
ต่อมา เชื้อพรได้มีโอกาสถวายงานท่านมากขึ้นอีกช่วงหนึ่ง คือ ช่วงที่ท่านจะฉลองพระชนมายุครบ 5 รอบพอดี ซึ่งแต่เริ่มเดิมที่ต้องจัดในเดือนพ.ย. ปี 2528 แต่เป็นปีเดียวกับที่พระนางท่าน (สมเด็จพระนางเจ้าวัทนา)สิ้นพระชนม์พอดี เลยเลื่อนออกไปจัดในปีถัดไป จึงได้มีโอกาสทำงานใหญ่ถวายได้มีโอกาสเข้าเฝ้าบ่อยขึ้นอีก
ทว่า เส้นทางการถวายงานรับใช้ก็หาได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากแต่ต้องอาศัยจังหวะและโอกาส จากการถวายงานตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กนักเรียน ท่านก็พระราชทานพระเมตตาเสมอ ประกอบกับอดีตราชองครักษ์ประจำพระองค์ ซึ่งดูแลงานเลขานุการในพระองค์ด้วย คือ พล.อ.ประพัทธ์ กุวานนท์ รู้จักกับคุณพ่อพอดี ยิ่งทำให้เชื้อพรได้รับความเมตตาเป็นพิเศษ กล่าวคือ เมื่อเห็นว่าสมเด็จเจ้าฟ้าท่านทรงเมตตา ท่านก็ให้โอกาสว่า พอมีงานก็ให้เข้าเฝ้าเสมอ
“จนเรียนจบมหาวิทยาลัย ทำงานแล้ว ก็เริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น พล.อ.ประพัทธ์ก็เริ่มให้ช่วยงานอย่างอื่นมากขึ้น คือเป็นลูกมือท่าน ขณะเดียวกันสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ก็เริ่มโปรดให้ตามเสด็จในงานส่วนพระองค์บ้าง งานพิธีบ้าง รวมทั้งงานเสด็จแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีโอกาสได้ตามเสด็จไปบ้าง”
แต่ระยะเวลาที่ได้ถวายงานอย่างใกล้ชิดพระ องค์แบบเป็นชิ้นเป็นอันนั้น เชื้อพรบอกว่า น่าจะประมาณ 12 ปี ราวๆ ปี 2538 ซึ่งเป็นช่วงเตรียมฉลองพระชนมายุครบ 72 พรรษา ซึ่งต้องเตรียมการล่วงหน้าประมาณ 2 ปี ในเวลานั้น พล.อ.ประพัทธ์ ท่านก็ให้เป็นผู้แทนไปประชุมกับสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งทำหนังสือเฉลิมพระเกียรติ ทำให้มีโอกาสได้เข้าไปกราบท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ บ้าง เพื่อขอคำแนะนำ
จากจุดนั้นเอง กลายเป็นใบเบิกทางครั้งสำคัญที่เชื้อพรได้พิสูจน์ฝีมือและความสามารถให้ผู้ใหญ่เห็น จนได้รับความไว้วางใจได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เพิ่มขึ้นๆ ควบคู่ไปกับการทำงานในฐานะผู้จัดการอาวุโส สายบริหารงานกลาง ของกองทุนธนชาต กระทั่งเสร็จสิ้นงานฉลองพระชนมายุครบ 72 พรรษา สุขภาพของ พล.อ.ประพัทธ์ ก็เริ่มไม่ดี ในที่สุดท่านเลยกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ขอพระราชทานให้ท่านผู้หญิงบุตรีเข้ามาช่วยถวายงานเต็มตัว เพราะเห็นว่าท่านผู้หญิงทรงคุ้นเคยกับสมเด็จเจ้าฟ้าฯ เป็นอย่างดี
ต่อมา พล.อ.ประพัทธ์ ถึงแก่อนิจกรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงบุตรีดูแลสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ต่อไป ตามที่ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลไปแล้ว ซึ่งท่านผู้หญิงก็ได้ทำหนังสือโปรดเกล้าฯ ให้ผม รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหารและทำงานอย่างเต็มตัว
12 ปีประทับใจที่ไม่รู้ลืม
เชื้อพรเล่าถึงความประทับใจในพระจริยาวัตรของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ว่า “ท่านไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีน้ำพระทัยกับคนรอบข้าง อดทนกับสิ่งที่ต้อง อดทน คือกรณีที่ท่านจะต้องเสด็จไปทรงงานที่อื่น ท่านก็ต้องยอมอดทน จากที่ปกติท่านจะมีตารางดูแลสุขภาพ ตามที่คุณหมอแนะนำไว้เลยว่า จะต้องเสวยน้ำวันละเท่าไร เวลาใดบ้าง แต่หากต้องเสด็จไปทรงงานท่านจะยอมไม่เสวยเพราะการนั่งรถไปกว่าจะถึงงานและกว่าจะกลับก็ต้องพยายามควบคุมปริมาณน้ำ นอกจากนี้ เวลาจะเสด็จไปงานต่างๆ พล.อ.ประพัทธ์ จะต้องเข้าไปกราบทูลอธิบายว่าเมื่อไปถึงแล้ว จะมีลำดับขั้นตอนอย่างไรบ้าง ท่านก็จะทำความเข้าใจ แล้วก็จำขั้นตอนต่างๆ แล้วท่านก็จะปฏิบัติตามนั้นอย่างไม่มีบกพร่อง
แม้กระทั่งว่าจะมีราษฎรมาเข้าเฝ้า ท่านก็จะพระราชทานพระกรุณา ท่านก็จะทรงทักทาย เมื่อมีผู้ถวายอะไรท่านก็จะทรงยิ้มแย้มแจ่มใส ขอบใจทุกครั้ง แต่ระยะหลังเมื่อพระพลานามัยไม่ดีเหมือนเดิม ท่านก็ปรับจากการที่ท่านต้องเสด็จออกไป เป็นให้คนมาเข้าเฝ้าที่วังแทน จนกระทั่งช่วงท้ายๆ เมื่อพระพลานามัยเริ่มถอยลงๆ ก็ไม่สะดวกแล้วที่จะทรงงาน และหมอก็ขอว่าให้ทรงถนอมพระองค์ อย่าให้ทรงงานมากไป ท่านก็ใช้วิธีการโปรดให้มีผู้แทนส่วนพระองค์
สำหรับความประทับใจที่เชื้อพรมีและซาบซึ้งต่อพระกรุณาธิคุณของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ มากที่สุดนั้น เชื้อพรเล่าว่า เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา แล้วเดินทางไปเข้าเฝ้า วันนั้นเราไปเข้าเฝ้าท่าน โผล่เข้าไปกำลังจะกราบ ท่านก็ทักว่า ‘โอ้ มหาดเล็กของฉันมาแล้ว’ ตอนนั้น เราก็ดีใจนะที่ท่านทรงพระเมตตา ไม่ได้เห็นว่าเราเป็นคนอื่นไกล” เชื้อพรย้อนวันวานแห่งความประทับใจ พร้อมเล่าว่า เพราะประโยคที่ว่านี้เอง ทำให้เจ้าตัวไปไหนไม่ได้ และคิดว่าต้องพยายามถวายงานท่าน
“อีกครั้งหนึ่งคือ ในบางครั้งที่ท่านทรงคิดถึงพระนางเจ้าสุวัทนา ท่านก็จะทรงถามว่า เอ๊ะ แม่เธอชื่ออะไรนะจ๊ะ ก็กราบทูลไป ท่านก็รับสั่งว่าทรงคิดถึงแม่ก๊ะเหมือนกัน ท่านก็จะทรงเปียโนและร้องเพลงที่พระนางเจ้าสุวัทนาเคยร้องถวายตอนทรงพระเยาว์ให้ฟัง นั่นคือ เพลงเต่ากินผักบุ้ง ซึ่งเป็นเพลงไทยเดิมคือ ซึ่งมันเป็นความผูกพัน เหมือนท่านแชร์ความรู้สึกกับเรา” เชื้อพรพรั่งพรูถึงความซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ
ในสายตาของเชื้อพรเห็นว่า ท่านทรงเป็นเจ้านายที่ทรงมีเหตุผล เวลาเคืองพระทัย ถ้ากราบทูลด้วยอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลท่านก็จะทรงฟัง ทรงยอมรับเสมอ
นอกจากนี้ ท่านยังทรงตรงต่อเวลามาก สมัยที่ท่านมีพระสุขภาพดีๆ เวลาตื่นและเข้าบรรทมจะเป็นเวลามาก และท่านก็จะทรงมีเวลาส่วนพระองค์ที่ไม่รบกวนคนอื่น เช่น ในเวลาบ่ายท่านก็จะเสด็จเข้า และท่านก็ทำเรื่องส่วนพระองค์ โดยไม่ต้องมีข้าหลวงมาคอยรับใช้ เพราะท่านถือว่า ให้คนอื่นพักบ้าง และท่านก็ทรงพยายามทำเรื่องส่วนพระองค์เอง เช่นฉลองพระองค์ที่จัดขึ้นถวายท่านจะทรงดูแลเอง การทำดนตรีท่านก็ทรงทำด้วยพระองค์ คือ ท่านทรงเกรงใจคน ทรงคิดถึงจิตใจคนอื่น
“อย่างเวลาจะมีงานเสด็จ ท่านจะแต่งพระองค์ให้เสร็จล่วงหน้า และลงมาประทับคอยรถเทียบทุกครั้ง ท่านไม่อยากให้เจ้าของงานคอย เพราะฉะนั้นพระองค์จะต้องเร่งพระองค์ให้เร็ว ท่านตรงต่อเวลามาก ซึ่งนั่นหมายความว่า เวลาใครขอเข้าเฝ้าก็ต้องมาให้ตรงต่อเวลาด้วย เพราะท่านจะประทับคอย โดยท่านจะทรงไดอะรีทุกวัน ส่วนหนึ่งบอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และอีกส่วนคือ วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว มีอะไรบ้าง รายละเอียดว่าวันนี้ใครมาเฝ้า ได้คุยเรื่องอะไร”


