พุทธประวัติ(ตอนจบ)
หลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนาคืออะไร
หลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนาคืออะไร
โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
หลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนาคืออะไร
หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่มากมาย ครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมวลมนุษยชาติ แต่เมื่อกล่าวสรุปโดยก็จะพบว่า มีอยู่เพียง 2 เรื่องเท่านั้น คือ เรื่องความทุกข์ และศิลปะในการดับทุกข์ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาในเชิงวิชาการ ก็ควรจะทราบไว้เป็นความรู้พื้นฐานว่า หลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา ที่เป็นเนื้อหาสาระของพุทธศาสนาแท้ๆ นั้นมีอะไรบ้าง ในบทความนี้ ขอแนะนำให้รู้จักเฉพาะรายการของหลักธรรมระดับ “แก่น” ของพุทธศาสนาพอให้เห็นเค้าโครงสำหรับสืบค้นต่อไป ดังนี้
1.ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) = แสดงให้เห็นความจริงเกี่ยวกับองค์ประกอบของชีวิต ว่าประกอบด้วยนามธรรม และรูปธรรม 5 อย่าง
2.ไตรลักษณ์ (อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา) = แสดงให้เห็นความจริงของขันธ์ 5 คือ ชีวิตรวมทั้งสรรพสิ่งว่า ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งธรรมชาติที่มีอาการ 3 อย่าง คือ ความไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) และไม่มีตัวตน (อนัตตา) อย่างเสมอหน้ากัน และในเมื่อสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดังนั้น บุคคลจึงไม่ควรยึดติดถือมั่นด้วยประการทั้งปวง
3.กฎแห่งกรรม = แสดงให้เห็นว่า ชีวิตจะเป็นไปอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับกรรม คือ การกระทำของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ หลักกฎแห่งกรรมนี้ มีแนวคิดหลักตามพุทธพจน์ที่ว่า “หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น, ทำดี ย่อมได้ดี ทำชั่ว ย่อมได้ชั่ว” หลักกฎแห่งกรรมนี้ พูดให้ร่วมสมัยก็คือ หลักที่สอนว่า “เราเป็นผู้ลิขิตชีวิตของเราเอง”
4.อิทัปปัจจยตา = แสดงให้เห็นความจริงของชีวิตและสรรพสิ่งว่า ล้วนดำรงอยู่ในลักษณะเชื่อมโยง ขึ้นต่อ หรืออิงอาศัยซึ่งกันและกันในลักษณะ “สิ่งนี้ เป็นปัจจัยต่อสิ่งนี้” ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ ไม่มีสิ่งใดๆ ในเอกภพนี้ที่ดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศโดยไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ สัจธรรมข้อนี้ปฏิเสธแนวคิดเกี่ยวกับโลกนี้ มีว่ามี “พระผู้สร้าง” แต่นำเสนอความจริงของโลกและชีวิตว่า เป็นไปตามกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยสืบเนื่องกันมาตามลำดับ อิทัปปัจจยตา คือ ที่มาของการมองโลกและชีวิตแบบองค์รวมหรือการมองสิ่งต่างๆ อย่างบูรณาการ ทำให้มีโลกทัศน์แบบทางสายกลาง มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ไม่ตกไปสู่ภาวะสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่ง อันนำมาซึ่งความเข้าใจผิดต่อโลกและชีวิตทั้งยังก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ
5.มัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลาง = คือ มรรควิธีในการดับทุกข์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางสุดโต่ง 2 สาย อันได้แก่ (1) สายอัตตกิลมถานุโยค (ทรมานตน) และ (2) สายกามสุขัลลิกานุโยค (บำเรอตน) แต่ควรเป็นทางสายกลางแห่งความสมดุลระหว่างกายและจิตที่มีองค์ประกอบ 8 ประการอันเรียกว่า “อริยมรรคมีองค์ 8”
6.นิพพาน = คือ ภาวะที่ปราศจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง หรืออิสรภาพสูงสุดอันเป็นผลมาจากดับทุกข์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ที่ชาวพุทธทุกคน/มนุษยชาติทั้งหมดควรพัฒนาตนเพื่อบรรลุถึง
7.อริยสัจ 4 = คือ หลักธรรมอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเกิดขึ้นของความทุกข์และวิธีในการดับทุกข์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ บรรดาธรรมทั้งปวงในพระพุทธศาสนาสามารถประมวลสรุปลงในอริยสัจ 4 ได้ทั้งสิ้น
8.ความไม่ประมาท = คือ สาระสำคัญของการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของการเจริญวิปัสสนากรรฐานเพื่อดับทุกข์ เป็นองค์มรรคข้อที่ 7 ในระบบมัชฌิมาปฏิปทา รวมทั้งเป็น “ปัจฉิมวาจา” ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสก่อนแต่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นมา ย่อมมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ที่มุ่งหมายให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด...”
บทส่งท้าย
พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาจากการเพียรพยายามแสวงหาทางหนทางที่จะดับทุกข์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงมีความเชื่อพื้นฐานที่ว่า “หากทุกข์เป็นสิ่งที่มีอยู่ หนทางดับทุกข์นั้น ก็ต้องมี” จากความเชื่อพื้นฐานนี้ ได้นำพระองค์ไปสู่การศึกษา ค้นคว้า ทดลอง ด้วยพระองค์เองเป็นเวลากว่า 6 ปี ในที่สุดจึงทรงค้นพบภาวะพระนิพพานอันเป็น “ภาวะที่สิ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง” และสำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสารบบคำสอนของพระองค์นั้น ทรงยืนยันว่า มนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วต้องพบกับความทุกข์เป็นธรรมดา แต่การที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์ ก็เป็นธรรมดาอย่างหนึ่งของมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน ศักยภาพที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์นี้เรียกว่า “โพธิปัญญา” ผู้ที่มีศรัทธาในศักยภาพนี้เรียกว่าผู้มี “โพธิศรัทธา” กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์ ขอเพียงตระหนักรู้ว่า เราทุกคนมีศักยภาพนี้อยู่ในตัว มนุษย์ทุกคนก็สามารถเป็นไทจากความทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ ไม่ใช่ในชาติหน้า (เสมอไป) หากแต่เป็นศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ในชีวิตนี้
กล่าวโดยสรุป พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สอนให้เรารู้จักศิลปะแห่งการดับทุกข์เพื่อจะได้มีชีวิตที่มีความสุข หรือพุทธศาสนา ก็คือ ศาสนาที่สอนศิลปะแห่งการมีชีวิตที่มีความสุขจากการค้นพบอิสรภาพเหนือความทุกข์ทั้งปวง


