posttoday

ศักยภาพถดถอย เพราะเข้าใจผิดต่อความรู้สึกผิด

28 มิถุนายน 2564

โดย ภก.ดร.จันทรชัย ถวิลพิพัฒน์กุล สถาบันอินทรานส์ Hipot – การปฏิรูปศักยภาพมนุษย์อย่างบูรณาการศาสตร์ชีวิตองค์รวมเพื่อความมั่นคงยั่งยืน

สาวโสดคนหนึ่ง ทำงานหนัก หาเงินเพื่อเลี้ยงตนเอง ช่วงหยุดยาวจึงอยากไปขับรถเล่น พักผ่อนอยู่กับธรรมชาติตามป่าเขา เธอชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่งไปด้วย แต่เพื่อนเธอไม่ว่างและขับรถไม่เป็น เพื่อนเธอจึงปฏิเสธ แต่เธอพยายามรบเร้าอยู่หลายครั้งจนเพื่อนใจอ่อน โดยชวนแฟนของเพื่อนไปด้วย ช่วยขับรถระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุ เธอไม่เป็นอะไร เพื่อนเธอบาดเจ็บสาหัส แฟนเพื่อนเสียชีวิต เธอเสียใจมากและโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุ หากว่าไม่ชวนเพื่อนและแฟนของเพื่อนไปด้วย ก็คงไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น เธอรู้สึกผิดอย่างมาก นึกขึ้นมาทีไร เจ็บปวด เสียใจ และอยากย้อนเวลากลับไปเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันย้อนเวลาไม่ได้ และชีวิตเธอก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่น รู้สึกผิดในใจลึกๆ กลายเป็นคนซึมเศร้า ศักยภาพถดถอย ไม่อาจพลิกฟื้นตนเองให้กลับมาเข้มแข็งได้ ชีวิตไม่มีความสุข เพราะเธอคิดว่าเธอคือต้นเหตุ

ศักยภาพถดถอย เพราะเข้าใจผิดต่อความรู้สึกผิด

ในช่วงชีวิตเราย่อมต้องมีเหตุการณ์ในทำนองนี้ที่ว่า มีบางอย่างเกิดขึ้นในอดีต และส่งผลเสียต่อทั้งตนเองและความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยคิดว่าตนคือต้นเหตุ เพราะคิดว่าหากว่าตนไม่ทำอย่างนั้น มันก็คงไม่มีเรื่อง มันเป็นความรู้สึกผิดที่เกาะกัดกินใจตนเองและเสียใจมายาวนาน จนเป็นรากฝังลึกลงเป็นปมในใจ ความรู้สึกผิดนี้ ตนก็พยายามจะลืมๆ มันไป แต่ทำไม่ได้ มันแวะเวียนมาบ่อยๆ นึกถึงทีไร รู้สึกผิดหวังในตนเอง คิดอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไข แต่มันเป็นไปไม่ได้

ศักยภาพถดถอย เพราะเข้าใจผิดต่อความรู้สึกผิด

ความรู้สึกผิดนี้มันบั่นทอนจิตใจ ความรู้สึก ทำให้ตนขาดความเชื่อมั่น ภายในเปราะบาง อ่อนไหวต่อเหตุการณ์เชิงลบที่เข้ามากระทบ ชีวิตจึงเต็มไปด้วยแรงกดดัน คิดมาก วิตกจริต และบ่อยครั้งที่เจอเรื่องแย่ๆ แล้วรู้สึกท้อถอย จมอยู่กับความผิดหวัง ไม่สามารถพลิกฟื้นคืนสภาพตนเองให้กลับมาเข้มแข็งได้

และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ส่งผลให้บุคคลไม่สามารถระเบิดศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่

  • บ่อยครั้งที่ท่านมีความคิดดีๆ แต่ไม่กล้านำเสนอ ขาดความเชื่อมั่น คิดไปว่ามันจะเข้าท่าหรือ เดี๋ยวก็คงโดนด่ากลับมาอีก แล้วก็ล้มเลิกไป
  • ทำไมตนจึงอ่อนไหวต่อความรู้สึกคนอื่นมากเกินไป เวลามีคนเตือน ตนจึงรู้สึกหวั่นไหว
  • ทำไมตนจึงเปราะบาง ขาดภูมิต้านทาน ไม่หนักแน่น ไม่ยืนหยัด ไม่อดทน ไม่อาจทนต่อแรงเสียดทานได้
  • คิดเองไม่เป็น คอยแต่จะตามคนอื่น กลัวพลาด ไม่สามารถนำตนเองได้ ไม่เล่นเชิงรุก
  • ทำไมเวลาใครได้รับการชื่นชม ตนรู้สึกกัดกินใจตนเอง เหมือนมีใครมาแย่งของๆ ตนไป
  • ทำไมตนจึงปฏิเสธไม่เป็น ไม่เป็นตัวของตัวเอง บ่อยครั้งทำให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
  • ตนเป็นผู้นำองค์กร แต่ทำไมไม่สามารถสร้างทีมงานให้ไปในแนวทางเดียวกันได้ ตนจึงเสียโอกาสก้าวหน้า ผลงานไม่เข้าตา องค์กรไม่บรรลุเป้าหมาย ส่วนรวมก็เสียหาย

แล้วท่านคิดว่าอะไรที่คอยฉุดรั้งศักยภาพท่านไว้ ท่านสงสัยไหมว่าทำไม รากของปัญหาคืออะไร แล้วจะแก้ยังไง?

เมื่อพิจารณาถึงรากของปัญหา โดยปกติ คนเราไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่มีทางที่จะทำสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ 100% ได้มากบ้าง น้อยบ้าง แตกต่างกัน และก็โดยทั่วไปที่คนเราย่อมต้องมีความพลาดพลั้ง หรือได้ทำในสิ่งที่ผิดพลาดลงไปในอดีต แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา

ปัญหาก็คือว่า คนเรามักจะเอาความพลาดพลั้งจากการที่ไม่ถึงเป้าหมายในเชิงรูปธรรมที่วัดได้ หรือเอาความพลาดพลั้งในอดีตที่ตนได้ทำลงไปนั้น มาสร้างความรู้สึกผิดขึ้นในใจตนเอง ตรงนี้ซิคือประเด็น!!

ภาวะดังกล่าวคือ ความรู้สึกผิด คิดว่าตนคือต้นเหตุของปัญหา มันเป็นภาวะที่เห็นตนเองติดลบ เห็นว่าตนเองใช้ไม่ได้ รู้สึกว่าตนไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง คิดไปว่าตนขาดประสิทธิภาพ ด้อยกว่าคนอื่น หรือด้อยกว่าที่ตนคิด หรือเกิดความสงสัยว่าทำไมจึงต่ำกว่ามาตรฐาน ตนน่าจะทำได้ดีกว่านี้ หรือตีความว่าทำไมแค่นี้ถึงคิดไม่ออก ทำไม่สำเร็จ โดยรวมก็คือ ตนไม่เห็นคุณค่าตนเอง

ศักยภาพถดถอย เพราะเข้าใจผิดต่อความรู้สึกผิด

เมื่อเห็นตนเองไร้ค่า จึงเกิดความสงสัยในตนเอง ขาดความเชื่อมั่น ทำให้ภายในอ่อนแอ เปราะบาง ขาดความมั่นคง ขาดภูมิต้านทาน อ่อนไหวไปตามกระแสหรือสิ่งที่เข้ามากระทบ โดยเฉพาะเวลาที่มีแรงกดดันจากภายนอก แต่ด้วยความที่เป็นคนที่มีความคาดหวังสูง จึงรับไม่ได้ จึงเกิดความขัดแย้งภายใน กลายเป็นแรงกดดัน มากๆ เข้าก็เลยคิดมาก วิตกจริต กดดันตนเอง หงุดหงิดง่าย เจ้าอารมณ์ ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วชอบเหวี่ยงใส่คนอื่น ซึมเศร้า และในบางกรณีกลับมาทำร้ายตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะตนไปเอาความพลาดพลั้งในอดีตมาทำร้ายตัวตนของตนเองอย่างเข้าใจผิด ปัญหาของบุคคลจึงเป็นเรื่องของ “ความเข้าใจผิดต่อความรู้สึกผิด” ตรงนี้แหละที่เป็นประเด็น ที่เอาความเข้าใจผิดต่อความรู้สึกผิดมาทำร้ายตนเอง มาทำลายคุณค่าตนเอง

เมื่อมีความพลาดพลั้งเกิดขึ้น และหากบุคคลใดมีกรอบความคิดว่าความพลาดพลั้งคือความผิดแล้ว ความรู้สึกดังกล่าวมันจะเข้ามาโจมตีที่ตัวตนของบุคคลคนนั้น และสร้างความรู้สึกผิดขึ้นในใจ ความรู้สึกผิดนี้เองที่จะบั่นทอนความเชื่อมั่นในตนเอง สร้างความหวั่นไหวขึ้นภายใน บุคคลที่ไม่สามารถก้าวข้ามพ้นความรู้สึกผิดนี้ไปได้ จึงไม่สามารถขับศักยภาพภายในตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องเสียหายที่เกิดจากความเข้าใจผิดต่อความพลาดพลั้ง และนี่คือสาเหตุหลักที่คอยฉุดรั้งศักยภาพของบุคคลให้ถดถอย ไม่สามารถนำตนเองได้อย่างน่าเสียดาย และเป็นรากของปัญหาในทุกความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ดังนั้น ความสามารถในการปลดปล่อยศักยภาพจึงมาจากการที่ตนเห็นตนเองเป็นใคร อย่างไร

เมื่อพิจารณาถึงทางออกของปัญหาในประเด็นความรู้สึกผิดต่อตนเองนี้ เราพบว่าทุกการแสดงออกมาจากกรอบความคิด (หรือภาพในใจ) หรือ Mindset กรอบความคิดคือตัวตน ตัวตนต้องการคุณค่าและความหมาย คนเราผ่านมาทั้งเรื่องบวกและลบมากมายทั้งชีวิต ในส่วนที่เป็นลบนั้น มันคือความรู้สึกผิดต่อตนเอง แต่นั่นมิใช่ปัญหา ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเราไปรับรู้และเข้าใจมันผิด ดังนั้น บุคคลที่อยู่ในภาวะถดถอยนั้นเป็นเพราะว่า ตนยังเข้าใจผิดต่อความรู้สึกผิดที่มีต่อตนเอง

เราจึงควรมาทำความเข้าใจกับตัวตนของตนเองเสียใหม่ โดยย้อนกลับเข้ามาภายในเพื่อทำความเข้าใจตนอง ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ห้ามปฏิเสธ หากเรายอมรับมัน นั่นเท่ากับว่าเรายอมรับตนเอง มันเป็นการเข้าใจตนเอง ให้อภัยตนเอง มันคือการเห็นคุณค่าตนเอง ภาวะนี้เท่านั้นที่บุคคลจะสามารถก้าวข้ามพ้นภาวะติดลบภายในใจไปได้ ภายในบุคคลจึงเข้มแข็ง เกิดความเชื่อมั่นและมีความมั่นคงภายใน ความมั่นคงภายในนี้เองจะเป็นก้าวสำคัญที่บุคคลจะเริ่มปรับฟื้นคืนสภาพตนเองให้กลับมาได้ การเห็นคุณค่าตนเองจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่การสร้างการนำตนเองเชิงรุกได้อย่างยั่งยืน