posttoday

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

24 ตุลาคม 2563

COVID-19 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่การเดินทางที่ต้องถูกเปลี่ยนไปตลอดกาล Booking.com เผยผลสำรวจอนาคตของการเดินทาง พร้อมคาดการณ์ 9 เทรนด์สำคัญซึ่งจะกำหนดรูปแบบอนาคตของการเดินทางในปีต่อๆ ไป

การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส (COVID-19) ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่มุมส่วนใหญ่ของชีวิตเราและโลกใบนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เว้นแม้แต่การเดินทางซึ่งจะถูกเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้เปลี่ยนโฉมหน้าไปตลอดกาล รายงานข้อมูลเชิงลึกและผลการสำรวจใหม่จากการศึกษาข้อมูลทั่วโลก* โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์ออนไลน์ด้านการท่องเที่ยว Booking.com เกี่ยวกับอนาคตของการเดินทาง เผยเทรนด์ที่จะเป็นตัวกำหนดรูปแบบประสบการณ์การเดินทางของเราในปีหน้าและปีต่อๆ ไป ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการคาดการณ์ถึงสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ของแวดวงด้านการเดินทางในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ 

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

#1 จากความปรารถนาสู่ความจำเป็น

เมื่อต้องอยู่บ้านเป็นเวลานานยิ่ง ทำให้ผู้คนโหยหาการเดินทางมากขึ้น โดยในช่วงล็อกดาวน์ นักเดินทางชาวไทย 71% รู้สึกตื่นเต้นที่จะมีโอกาสได้กลับมาเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง ในขณะที่ 77% ระบุว่ารู้สึกเห็นคุณค่าของการเดินทางมากขึ้นและจะไม่มองข้ามคุณค่าดังกล่าวอีก นอกจากนี้ 2 ใน 3 ของนักเดินทางชาวไทย (65%) ปรารถนาที่จะออกไปสำรวจโลกกว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิม และอีก 60% ตั้งใจที่จะจองทริปที่ต้องยกเลิกไปก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

#2 ความคุ้มค่าต้องมาก่อนผลกระทบทางเศรษฐกิจ

จากโควิด-19 ทำให้ผู้คนมองหาความคุ้มค่าในทุกการจับจ่ายใช้สอย ไม่เว้นแม้แต่ด้านท่องเที่ยว โดยผู้เดินทางชาวไทย 78% ให้ความใส่ใจกับราคามากขึ้นขณะวางแผนการเดินทาง และคนจำนวนเท่ากัน (78%) ยังมีแนวโน้มมองหาโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษต่างๆ มากขึ้น โดยพฤติกรรมเช่นนี้จะคงอยู่ไปอีกหลายปี

อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคคาดหวังไม่ได้มีเฉพาะเรื่องราคา โดยผู้เดินทางไทยจำนวน 4 ใน 5 (80%) ระบุว่าต้องการให้แพลตฟอร์มจองการเดินทางเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับนโยบายการยกเลิก ขั้นตอนการคืนเงิน และตัวเลือกประกันการเดินทาง โดย 37% มองว่าตัวเลือกที่พักแบบยกเลิกฟรีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทริปถัดไป ที่สำคัญ ผู้เดินทางชาวไทย 87% สนใจที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ 84% อยากให้การจองการเดินทางของตนสามารถช่วยเหลือชุมชนให้ฟื้นตัวได้

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

#3 ขอเน้นที่ใกล้และคุ้นเคย

เนื่องจากการท่องเที่ยวต่างประเทศยังคงเป็นเรื่องไกลตัวในปัจจุบัน การเดินทางในพื้นที่ใกล้เคียงและท่องเที่ยวภายในประเทศได้กลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่น เนื่องจากสะดวกกว่า ปลอดภัยกว่า และมักช่วยส่งเสริมความยั่งยืนได้มากกว่า โดยผู้เดินทางชาวไทย 61% วางแผนจะเดินทางในประเทศภายใน 7-12 เดือนที่จะถึง และ 53% วางแผนจะเดินทางในไทยในระยะยาว (ในช่วง 1 ปีขึ้นไป) ในแง่ของการเที่ยวใกล้ๆ คนไทย 36% วางแผนที่จะไปสำรวจจุดหมายใหม่ๆ ที่ไม่เคยไปที่อยู่ใกล้เคียงภูมิลำเนาหรือในภายประเทศ และ 55% อยากใช้เวลาไปชื่นชมความงดงามของธรรมชาติในเมืองไทย

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

#4 หลีกหนีความจริงด้วยการค้นหาเพื่อสร้างความสุขและหากิจกรรมทำ

ในช่วงล็อกดาวน์ คนไทยส่วนใหญ่ 98% เคยใช้เวลาไปกับการค้นหาแรงบันดาลใจสำหรับทริปพักผ่อน โดยกว่า 2 ใน 3 (68%) ได้เสิร์ชหาจุดหมายท่องเที่ยวต่างๆ บ่อยถึงสัปดาห์ละครั้ง นอกจากนี้ 41% ตอบว่ารู้สึกหวนคิดถึงวันวานเมื่อเปิดดูภาพถ่ายเก่าๆ จากทริปก่อนๆ ขณะมองหาแรงบันดาลใจการท่องเที่ยวในอนาคต

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

#5 ปลอดภัยไว้ก่อน

ผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยเกือบ 9 ใน 10 (89%) จะใช้ความระมัดระวังในการเดินทางมากขึ้นสืบเนื่องจากโคโรนาไวรัส และผู้เดินทาง 83% คาดหวังให้สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีการปรับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ในขณะเดียวกัน 86% จะเลือกจองเฉพาะที่พักที่มีการระบุมาตรการด้านสุขภาพและอนามัยไว้อย่างชัดเจน และผู้ตอบชาวไทยในจำนวนเท่ากัน (86%) ยอมรับได้กับการตรวจสุขภาพเมื่อเดินทางถึงสถานที่ท่องเที่ยวหรือจุดหมายปลายทาง

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

#6 คำนึงถึงผลกระทบ

นักเดินทางชาวไทยส่วนใหญ่เกิน 2 ใน 3 (68%) ต้องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้นในอนาคต โดย 86% คาดหวังให้ภาคการท่องเที่ยวนำเสนอตัวเลือกการเดินทางที่ยั่งยืนมากขึ้น และคนไทยมากกว่า 4 ใน 5 (84%) ต้องการตัวเลือกในการเดินทางที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูจุดหมายปลายทางนั้นๆ ได้ และ 82% ต้องการเห็นว่าเม็ดเงินที่จ่ายไปจะกลับเข้าสู่ชุมชนท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

#7 โบกมือลาการเข้าออฟฟิศ

การทำงานจากบ้านได้กลายเป็นพฤติกรรมกระแสหลักในช่วงของการระบาด แต่ผลที่ตามมาทางอ้อมคือทางเลือกในการวางแผนการเดินทางที่ยาวนานขึ้นโดยรวมการทำงานเข้ากับทริปท่องเที่ยว การที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์อีกต่อไป ทำให้เราเห็นพฤติกรรมของนักเดินทางแบบ “Workation” หรือเที่ยวไปทำงานไปเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

โดยผู้เดินทางชาวไทย 60% เคยวางแผนจะจองที่พักเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งทำงานในสถานที่แปลกใหม่ ในขณะที่ 69% เต็มใจที่จะกักตัวหากยังคงสามารถทำงานระยะไกลได้ นอกจากนี้ คนไทยกว่า 3 ใน 4 (76%) กล่าวว่าจะหาโอกาสขยายทริปธุรกิจให้นานขึ้นเพื่ออยู่เที่ยวที่จุดหมายปลายทางนั้นๆ ต่อได้

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

#8 สัมผัสความสุขง่ายๆ

เมื่อเราได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับผลกระทบของเหตุการณ์แพร่ระบาดครั้งใหญ่ ผู้เดินทางต่างหันมาเปิดรับวิถีใหม่ที่เรียบง่ายในการออกสำรวจโลกกว้าง และต้องการที่จะดื่มด่ำกับธรรมชาติมากขึ้น ตั้งแต่เริ่มมีเหตุการณ์แพร่ระบาด ผู้ใช้บริการ Booking.com ทั่วโลกต่างแบ่งปันความคิดเห็นถึงสิ่งธรรมดาๆ ที่สร้างความสุขได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า (94%) อากาศบริสุทธิ์ (50%) ธรรมชาติ (44%) และการผ่อนคลาย (33%)** ซึ่งคล้ายคลึงกับความต้องการของผู้เดินทางชาวไทยกว่า 4 ใน 5 (85%) ที่วางแผนจะดื่มด่ำกับประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบเรียบง่ายมากขึ้น เช่น การทำกิจกรรมกลางแจ้งกับครอบครัวระหว่างทริปพักผ่อน นอกจากนี้ นักเดินทางชาวไทยจำนวนใกล้เคียงกัน (80%) ยังอยากมองหาประสบการณ์ท่องเที่ยวในชนบทหรือที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีใครไป เพื่อดื่มด่ำกับประสบการณ์ท่ามกลางธรรมชาติให้เต็มที่

พฤติกรรมการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ผู้คนให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว พื้นที่เว้นระยะห่างทางสังคม รวมถึงความสะอาดและสุขอนามัยที่ควบคุมได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นผู้เดินทางชาวไทยต่างมองหาที่พักที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตัวเอง โดย 55% ของนักเดินทางชาวไทยเลือกมองหาที่พักประเภทบ้านพักตากอากาศหรืออพาร์ตเมนต์มากกว่าโรงแรม และ 63% จะเลือกทานอาหารในที่พักมากขึ้นแทนที่จะออกไปร้านอาหาร นอกจากนี้ ประเภทของทริปที่นักเดินทางชาวไทยยุค “นิวนอร์มอล” อยากไปเที่ยวมากที่สุดได้แก่ ทริปเที่ยวริมทะเล (51%) ตามมาด้วยทริปพักผ่อนหย่อนใจ (48%) และทริปเที่ยวในเมือง (27%)

เทรนด์เที่ยวแบบไหน จะเป็นที่สนใจในอนาคต

#9 เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกระตุ้นการเดินทาง

เราจะเห็นนวัตกรรมเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เดินทางอีกครั้งในโลกหลังการระบาดใหญ่ โดย 81% ของผู้เดินทางชาวไทยเห็นด้วยว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพระหว่างเดินทาง นอกจากนั้น 80% ยังเห็นตรงกันว่าผู้ให้บริการที่พักจะต้องประยุกต์ใช้เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าพัก

โดย 7 ใน 10 ของนักเดินทางชาวไทย (70%) ต้องการให้มีตัวเลือกเทคโนโลยีที่สามารถใช้จองร้านอาหารแบบกระชั้นชิดได้ และนักเดินทางชาวไทยจำนวน 3 ใน 4 (75%) ต้องการให้มีเครื่องมือแบบบริการตนเองมากขึ้นแทนที่จะผ่านเคาน์เตอร์ให้บริการเพื่อลดการสัมผัส นอกจากนี้คนไทย 80% ยังรู้สึกตื่นเต้นกับศักยภาพของเทคโนโลยีที่ช่วยปรับเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางให้เข้ากับความต้องการเฉพาะบุคคลได้มากขึ้นในอนาคต โดยเทคโนโลยีจะเข้ามาเพิ่มประโยชน์และเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ

*ข้อมูลเชิงลึกโดยการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง "ผู้ใหญ่" ซึ่งได้เดินทางทริปธุรกิจหรือทริปพักผ่อนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และต้องมีแผนที่จะเดินทางในช่วง 12 เดือนนับจากนี้ (หาก/เมื่อมีการยกเลิกการจำกัดการเดินทาง) จากจำนวนผู้เข้าร่วมการสำรวจทั้งหมด 20,934 คนใน 28 ประเทศ/ภูมิภาค โดยผู้เข้าร่วมได้ทำแบบสอบถามทางออนไลน์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 โดยอิงจากการบอกต่อที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นมากที่สุดในแต่ละเดือนระหว่างวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563 - 11 กันยายน พ.ศ. 2563 โดยเทียบกับค่าเฉลี่ยของการบอกต่อในแต่ละเดือนระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 - กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563